วันจันทร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2557

ลักษณะที่ถือว่าเป็นวิทยานิพนธ์และไม่เป็นวิทยานิพนธ์


ลักษณะที่ถือว่าเป็นวิทยานิพนธ์

 
              ถึงแม้ว่าแต่ละสถาบันจะมีรูปแบบ ลักษณะการเขียนไม่เหมือนกัน แต่ตามหลักวิทยานิพนธ์โดยทั่วไปประกอบด้วยลักษณะที่สำคัญ ดังนี้
                   1.  ต้องใช้ความคิดในการสร้างสรรค์วิทยานิพนธ์  ใช้ปัญญาในการดำเนินการ ในการทำวิทยานิพนธ์นั้นจะใช้ปัญญาในการคิดหลาย ๆ  เรื่อง  ประกอบด้วย การเลือกหัวเรื่องที่ทำวิทยานิพนธ์   การวางแผนการทำวิทยานิพนธ์  การเขียนเค้าโครงวิทยานิพนธ์  วิธีการแก้ไข  วิธีปรับปรุง  วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล  การแปลความหมายข้อมูล รวมทั้งการเตรียมพร้อมการสอบวิทยานิพนธ์ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ล้วนต้องใช้ปัญญาและความคิดในการทำ สร้างสรรค์วิทยานิพนธ์
                   2.  การทำวิทยานิพนธ์ ต้องได้ความรู้ใหม่ สิ่งใหม่  ผลการวิจัยช่วยให้ได้ความรู้ที่ยังไม่มีในเรื่องนั้นมาก่อน  ได้ปรับปรุงพัฒนางาน ได้เทคนิควิธีการใหม่ และได้พบองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์  ซึ่งความรู้ใหม่ สิ่งใหม่ในที่นี้รวมหมายถึงความรู้ทางวิชาการและการพัฒนา  เช่น ความรู้ที่ได้จากการทำวิทยานิพนธ์  การปฏิบัติงานของนักศึกษาและผลสะท้อนกลับหลังการทำวิทยานิพนธ์
                   3.  ดำเนินการอย่างรอบคอบตามหลักกระบวนการทำวิจัยและปฏิบัติตามหลักการทำวิทยานิพนธ์อย่างเคร่งครัด  รัดกุม ไม่มีอคติใด ๆ เพื่อให้ได้ผลที่ดี  ได้ความรู้ความจริง ไม่ให้เกิดความผิดพลาดหรือบกพร่อง
                   4.  มีความแปลกใหม่ กล่าวคือ นักศึกษาสามารถศึกษาวิทยานิพนธ์ของผู้อื่นได้ แต่ไม่ควรคัดลอกวิทยานิพนธ์นั้น โดยเปลี่ยนกลุ่มประชากรหรือเครื่องมือในการวิจัย  เป็นต้น ควรศึกษาทฤษฎีในสาขานั้น จนเกิดการตกผลึกทางความคิด และนำความคิดมาสร้างสรรค์วิทยานิพนธ์ที่แสดงให้เห็นถึงความคิดริเริ่มและความแปลกใหม่ หากวิทยานิพนธ์ที่ทำซ้ำซ้อนหรือเหมือนกับผู้อื่นที่เคยทำแล้ว จะทำให้คุณค่าวิทยานิพนธ์ของลดลงและยังไม่สร้างองค์ความรู้ในศาสตร์นั้น  ดังนั้นจึงควรทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างถี่ถ้วนและระมัดระวังไม่ให้วิทยานิพนธ์ไม่ซ้ำซ้อนกับคนอื่น  ทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา อีกทั้งยังเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงในเรื่องคัดลอกวิทยานิพนธ์ มีความเป็นวิชาการ  วิทยานิพนธ์ควรมีความเป็นวิชาการในการเขียน สิ่งที่ทำให้วิทยานิพนธ์มีความเป็นวิชาการ คือ การอ้างอิง (Citation)  ไม่ว่าจะเป็นการอ้างอิงในเนื้อหา (In-text Citation) หรือการอ้างอิงท้ายเล่ม (End Citation) การอ้างอิงทำให้วิทยานิพนธ์แตกต่างจากงานเขียนประเภทอื่นทั้งนี้ วิทยานิพนธ์ต้องมีการอ้างอิง เนื่องจากการวิจัยต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานความรู้และทฤษฎีในฐานที่นักศึกษาเป็นผู้วิจัย ควรแสดงแหล่งที่มาหรือ ผู้ที่เป็นเจ้าของความคิดนั้น  มิฉะนั้น  จะถือว่า ลอกหรือขโมยความคิดของผู้อื่น ๆ ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรง(Plagiarism)
                   5.  ภาษาเขียน  ในการเรียบเรียงหรือเขียนวิทยานิพนธ์ ภาษาที่ใช้มีความเป็นทางการและความเป็นวิชาการกว่างานวิชาการประเภทอื่น ๆ   ซึ่งวิทยานิพนธ์มีรูปแบบการจัดวางเนื้อหาที่ถือเป็นมาตรฐาน โดยทั่วไปประกอบด้วย บทที่ 1บทนำ บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง  บทที่ 3  วิธีดำเนินการวิจัย  บทที่ 4 ผลการวิจัย บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีวิทยานิพนธ์บางสถาบันไม่ปรากฏตามลำดับนี้ แต่ถ้านักศึกษาสำรวจวิทยานิพนธ์ เหล่านั้นอย่างถี่ถ้วนแล้ว  จะพบว่ารูปแบบไม่ได้แตกต่างจากมาตรฐานเท่าไหร่ อาจมีเพียงส่วนย่อยแต่ละบทของวิทยานิพนธ์ที่แตกต่างบ้างเท่านั้น
                   6.  มีหลักฐานในการทำวิทยานิพนธ์  หลักฐานที่ได้จากการทำวิทยานิพนธ์อาจใช้ยืนยัน หรือปฏิเสธแนวคิดหรือทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่ง  สนับสนุนหรือปฏิเสธสมมุติฐาน  หรืออาจช่วยให้นักศึกษา เข้าใจกระบวนการหนึ่ง ๆ ดีขึ้น  ต้องตอบคำถามในเรื่องที่มาของข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลให้ได้  เมื่ออาจารย์ที่ปรึกษาถาม  นักศึกษาว่างานวิจัยมีหลักฐาน สนับสนุนมาจากไหน คำตอบอาจเป็นไปได้ว่า ได้หลักฐานจากการทดลอง การจำลอง สถานการณ์ การสังเกต  แบบสอบถาม  การสัมภาษณ์  หรือการวัด  เป็นต้น  อนึ่ง การที่ผู้วิจัยยืนยันว่าตนไม่มีอคติในการให้ข้อมูล  คงไม่ได้  เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้วไม่มีใครยอมรับว่าตนมีความลำเอียง
                   7. มีระเบียบวิธีวิจัย  (Methodology) ที่ถูกต้องตามวิธีของกระบวนการวิจัย กรณีประเภทของงานวิจัยเชิงปริมาณ ผู้วิจัยไม่ฝ่าผืนข้อตกลงเบื้องต้นของสถิติที่ใช้
                   8.   มีเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล   การทำวิทยานิพนธ์เป็นการศึกษาค้นคว้า แสวงหาข้อเท็จจริง เพื่อให้ได้ซึ่งข้อมูล นักศึกษาต้องมีความรู้  ความสามารถและทักษะในการค้นคว้า ดังนั้นการที่จะได้มาของข้อมูลต้องใช้เครื่องมือในการวิจัย

 
ลักษณะที่ไม่ถือว่าเป็นวิทยานิพนธ์

             
              เพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับวิทยานิพนธ์ขอยกตัวอย่างลักษณะที่ไม่ถือว่าเป็นวิทยานิพนธ์ ดังนี้
                   1.  การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องหรือการเรียบเรียงเชิงบรรยายไม่ถือว่าเป็นวิทยานิพนธ์เพราะ เป็นการสร้างความรู้ตามที่วิทยานิพนธ์พึงมี โดยเชื่อว่า งานเขียน  เชิงบรรยายไม่ว่าจะใช้กลวิธีนำสมัยอย่างไร ก็ไม่อาจถือเป็นวิทยานิพนธ์  เช่น การแต่งตำราหรือเอกสารประกอบการสอน  ซึ่งเป็นงานวิชาการที่สร้างความรู้เช่นเดียวกัน  แต่เป็นการสร้างความรู้ในบริบทของกระบวนการเรียนรู้ ตำราเรียนเป็นผลจากการที่ผู้แต่งเรียบเรียงขึ้น
                    2.  การที่นักศึกษาไปศึกษาจากเอกสาร  ตำรา  วารสาร  แล้วนำเอาข้อความ    ต่าง ๆ  มาตัดต่อกัน ถือว่าไม่ใช่วิทยานิพนธ์ ทั้งนี้เพราะไม่ผ่านการสรุปความเรียง  รวมทั้งไม่วิเคราะห์  สังเคราะห์เนื้อหาที่ได้สืบค้นมาอย่างลึกซึ้งนั่นเอง       
                   3.  การรวบรวมข้อมูล นำมาจัดเข้าตารางซึ่งอาจเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจ แต่ยังไม่ได้สรุปครอบคลุมตามจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน เพราะการทำวิทยานิพนธ์นั้นต้องเริ่มจากศึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยเกี่ยวข้อง มีการกำหนดขอบเขตของการวิจัย มีวิธีดำเนินการวิจัยที่จะได้ซึ่งข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลและนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล อาจจะอยู่ในรูปตาราง แผนภูมิ กราฟ เป็นต้น
                   4. การค้นหาคำตอบซ้ำกับคนอื่น โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงขอบเขตของการวิจัย  วิธีดำเนินการวิจัย  และที่สำคัญไม่ได้ความรู้ใหม่ ๆ              
            วิทยานิพนธ์เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนในระดับบัณฑิตศึกษา  เป็นส่วนสำคัญและเป็นเงื่อนไขของการสำเร็จการศึกษา ดังนั้นการที่จะสามารถบรรลุผลดังกล่าวได้นั้นในการทำวิทยานิพนธ์ต้องอาศัยปัญญาความคิดและแรงกาย ต้องมีการค้นคว้าข้อมูล แสวงหาความรู้ สร้างแบบจำลองทางความคิดและใช้สมาธิ ความตั้งใจอย่างสูง  มีระบบที่ดีในการคิด การทำงาน มีความรู้  ความสามารถ จะช่วยให้วิทยานิพนธ์มีคุณภาพ 


ให้คำปรึกษาการวิจัย วิทยานิพนธ์ IS  การวิเคราะห์ข้อมูล  การทำแบบสอบถาม การสำรวจความพึงพอใจ การให้บริการ องค์กร ร้านค้า  ความพึงพอใจลูกค้า  084-7991757 หรือ tong-snga@Hotmail.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น