ลักษณะที่ถือว่าเป็นวิทยานิพนธ์
ถึงแม้ว่าแต่ละสถาบันจะมีรูปแบบ
ลักษณะการเขียนไม่เหมือนกัน แต่ตามหลักวิทยานิพนธ์โดยทั่วไปประกอบด้วยลักษณะที่สำคัญ
ดังนี้
1. ต้องใช้ความคิดในการสร้างสรรค์วิทยานิพนธ์ ใช้ปัญญาในการดำเนินการ
ในการทำวิทยานิพนธ์นั้นจะใช้ปัญญาในการคิดหลาย ๆ
เรื่อง ประกอบด้วย การเลือกหัวเรื่องที่ทำวิทยานิพนธ์ การวางแผนการทำวิทยานิพนธ์ การเขียนเค้าโครงวิทยานิพนธ์ วิธีการแก้ไข
วิธีปรับปรุง
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
การแปลความหมายข้อมูล รวมทั้งการเตรียมพร้อมการสอบวิทยานิพนธ์ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ล้วนต้องใช้ปัญญาและความคิดในการทำ
สร้างสรรค์วิทยานิพนธ์
2. การทำวิทยานิพนธ์ ต้องได้ความรู้ใหม่
สิ่งใหม่ ผลการวิจัยช่วยให้ได้ความรู้ที่ยังไม่มีในเรื่องนั้นมาก่อน ได้ปรับปรุงพัฒนางาน ได้เทคนิควิธีการใหม่
และได้พบองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์
ซึ่งความรู้ใหม่ สิ่งใหม่ในที่นี้รวมหมายถึงความรู้ทางวิชาการและการพัฒนา เช่น ความรู้ที่ได้จากการทำวิทยานิพนธ์ การปฏิบัติงานของนักศึกษาและผลสะท้อนกลับหลังการทำวิทยานิพนธ์
3. ดำเนินการอย่างรอบคอบตามหลักกระบวนการทำวิจัยและปฏิบัติตามหลักการทำวิทยานิพนธ์อย่างเคร่งครัด รัดกุม ไม่มีอคติใด ๆ เพื่อให้ได้ผลที่ดี ได้ความรู้ความจริง
ไม่ให้เกิดความผิดพลาดหรือบกพร่อง
4. มีความแปลกใหม่ กล่าวคือ นักศึกษาสามารถศึกษาวิทยานิพนธ์ของผู้อื่นได้
แต่ไม่ควรคัดลอกวิทยานิพนธ์นั้น โดยเปลี่ยนกลุ่มประชากรหรือเครื่องมือในการวิจัย เป็นต้น ควรศึกษาทฤษฎีในสาขานั้น
จนเกิดการตกผลึกทางความคิด และนำความคิดมาสร้างสรรค์วิทยานิพนธ์ที่แสดงให้เห็นถึงความคิดริเริ่มและความแปลกใหม่
หากวิทยานิพนธ์ที่ทำซ้ำซ้อนหรือเหมือนกับผู้อื่นที่เคยทำแล้ว จะทำให้คุณค่าวิทยานิพนธ์ของลดลงและยังไม่สร้างองค์ความรู้ในศาสตร์นั้น ดังนั้นจึงควรทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างถี่ถ้วนและระมัดระวังไม่ให้วิทยานิพนธ์ไม่ซ้ำซ้อนกับคนอื่น
ทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา
อีกทั้งยังเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงในเรื่องคัดลอกวิทยานิพนธ์ มีความเป็นวิชาการ วิทยานิพนธ์ควรมีความเป็นวิชาการในการเขียน
สิ่งที่ทำให้วิทยานิพนธ์มีความเป็นวิชาการ คือ การอ้างอิง (Citation) ไม่ว่าจะเป็นการอ้างอิงในเนื้อหา
(In-text Citation) หรือการอ้างอิงท้ายเล่ม (End
Citation) การอ้างอิงทำให้วิทยานิพนธ์แตกต่างจากงานเขียนประเภทอื่นทั้งนี้
วิทยานิพนธ์ต้องมีการอ้างอิง เนื่องจากการวิจัยต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานความรู้และทฤษฎีในฐานที่นักศึกษาเป็นผู้วิจัย
ควรแสดงแหล่งที่มาหรือ ผู้ที่เป็นเจ้าของความคิดนั้น มิฉะนั้น
จะถือว่า ลอกหรือขโมยความคิดของผู้อื่น ๆ ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรง(Plagiarism)5. ภาษาเขียน ในการเรียบเรียงหรือเขียนวิทยานิพนธ์ ภาษาที่ใช้มีความเป็นทางการและความเป็นวิชาการกว่างานวิชาการประเภทอื่น ๆ ซึ่งวิทยานิพนธ์มีรูปแบบการจัดวางเนื้อหาที่ถือเป็นมาตรฐาน โดยทั่วไปประกอบด้วย บทที่ 1บทนำ บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย บทที่ 4 ผลการวิจัย บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีวิทยานิพนธ์บางสถาบันไม่ปรากฏตามลำดับนี้ แต่ถ้านักศึกษาสำรวจวิทยานิพนธ์ เหล่านั้นอย่างถี่ถ้วนแล้ว จะพบว่ารูปแบบไม่ได้แตกต่างจากมาตรฐานเท่าไหร่ อาจมีเพียงส่วนย่อยแต่ละบทของวิทยานิพนธ์ที่แตกต่างบ้างเท่านั้น
6. มีหลักฐานในการทำวิทยานิพนธ์ หลักฐานที่ได้จากการทำวิทยานิพนธ์อาจใช้ยืนยัน หรือปฏิเสธแนวคิดหรือทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่ง สนับสนุนหรือปฏิเสธสมมุติฐาน หรืออาจช่วยให้นักศึกษา เข้าใจกระบวนการหนึ่ง ๆ ดีขึ้น ต้องตอบคำถามในเรื่องที่มาของข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลให้ได้ เมื่ออาจารย์ที่ปรึกษาถาม นักศึกษาว่างานวิจัยมีหลักฐาน สนับสนุนมาจากไหน คำตอบอาจเป็นไปได้ว่า ได้หลักฐานจากการทดลอง การจำลอง สถานการณ์ การสังเกต แบบสอบถาม การสัมภาษณ์ หรือการวัด เป็นต้น อนึ่ง การที่ผู้วิจัยยืนยันว่าตนไม่มีอคติในการให้ข้อมูล คงไม่ได้ เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้วไม่มีใครยอมรับว่าตนมีความลำเอียง
7. มีระเบียบวิธีวิจัย (Methodology) ที่ถูกต้องตามวิธีของกระบวนการวิจัย กรณีประเภทของงานวิจัยเชิงปริมาณ ผู้วิจัยไม่ฝ่าผืนข้อตกลงเบื้องต้นของสถิติที่ใช้
8. มีเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล การทำวิทยานิพนธ์เป็นการศึกษาค้นคว้า แสวงหาข้อเท็จจริง เพื่อให้ได้ซึ่งข้อมูล นักศึกษาต้องมีความรู้ ความสามารถและทักษะในการค้นคว้า ดังนั้นการที่จะได้มาของข้อมูลต้องใช้เครื่องมือในการวิจัย
ลักษณะที่ไม่ถือว่าเป็นวิทยานิพนธ์
เพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับวิทยานิพนธ์ขอยกตัวอย่างลักษณะที่ไม่ถือว่าเป็นวิทยานิพนธ์
ดังนี้
1. การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องหรือการเรียบเรียงเชิงบรรยายไม่ถือว่าเป็นวิทยานิพนธ์เพราะ
เป็นการสร้างความรู้ตามที่วิทยานิพนธ์พึงมี โดยเชื่อว่า งานเขียน เชิงบรรยายไม่ว่าจะใช้กลวิธีนำสมัยอย่างไร
ก็ไม่อาจถือเป็นวิทยานิพนธ์ เช่น
การแต่งตำราหรือเอกสารประกอบการสอน
ซึ่งเป็นงานวิชาการที่สร้างความรู้เช่นเดียวกัน แต่เป็นการสร้างความรู้ในบริบทของกระบวนการเรียนรู้
ตำราเรียนเป็นผลจากการที่ผู้แต่งเรียบเรียงขึ้น 2. การที่นักศึกษาไปศึกษาจากเอกสาร ตำรา วารสาร แล้วนำเอาข้อความ ต่าง ๆ มาตัดต่อกัน ถือว่าไม่ใช่วิทยานิพนธ์ ทั้งนี้เพราะไม่ผ่านการสรุปความเรียง รวมทั้งไม่วิเคราะห์ สังเคราะห์เนื้อหาที่ได้สืบค้นมาอย่างลึกซึ้งนั่นเอง
3. การรวบรวมข้อมูล
นำมาจัดเข้าตารางซึ่งอาจเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจ
แต่ยังไม่ได้สรุปครอบคลุมตามจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน
เพราะการทำวิทยานิพนธ์นั้นต้องเริ่มจากศึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยเกี่ยวข้อง
มีการกำหนดขอบเขตของการวิจัย มีวิธีดำเนินการวิจัยที่จะได้ซึ่งข้อมูล
วิเคราะห์ข้อมูลและนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล อาจจะอยู่ในรูปตาราง แผนภูมิ กราฟ
เป็นต้น
4. การค้นหาคำตอบซ้ำกับคนอื่น โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงขอบเขตของการวิจัย วิธีดำเนินการวิจัย และที่สำคัญไม่ได้ความรู้ใหม่ ๆ
วิทยานิพนธ์เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนในระดับบัณฑิตศึกษา เป็นส่วนสำคัญและเป็นเงื่อนไขของการสำเร็จการศึกษา
ดังนั้นการที่จะสามารถบรรลุผลดังกล่าวได้นั้นในการทำวิทยานิพนธ์ต้องอาศัยปัญญาความคิดและแรงกาย
ต้องมีการค้นคว้าข้อมูล แสวงหาความรู้ สร้างแบบจำลองทางความคิดและใช้สมาธิ ความตั้งใจอย่างสูง มีระบบที่ดีในการคิด การทำงาน มีความรู้ ความสามารถ จะช่วยให้วิทยานิพนธ์มีคุณภาพ ให้คำปรึกษาการวิจัย วิทยานิพนธ์ IS การวิเคราะห์ข้อมูล การทำแบบสอบถาม การสำรวจความพึงพอใจ การให้บริการ องค์กร ร้านค้า ความพึงพอใจลูกค้า 084-7991757 หรือ tong-snga@Hotmail.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น