การเขียนบทที่ 1 บทนำ(เค้าโครงวิทยานิพนธ์หรือการเขียนวิจัยบทที่
1)
ถือว่าเป็นส่วนแรกที่สำคัญ
เปรียบเสมือนประตูบานแรกที่บ่งบอกเหตุผล
หลักการว่าวิทยานิพนธ์ที่นักศึกษาทำมีความสำคัญ
มีปัญหาอย่าไร ถึงจะทำเรื่องนี้ เป็นการบ่งชี้ความสำคัญ ชี้ปัญหาที่ชัดเจนในการทำ บทนำประกอบด้วยหัวข้อต่าง ๆ ดังนี้ ภูมิหลัง
ความมุ่งหมายของการวิจัย หรือความสำคัญของการวิจัย กรอบแนวคิดของการวิจัย* ขอบเขตของการวิจัย
สมมุติฐานของการวิจัย * ข้อตกลงเบื้องต้น* และนิยามศัพท์เฉพาะ* และแต่ละหัวข้อย่อยมีหลักในการเขียนดังนี้
1. การเขียนภูมิหลัง โดยภูมิหลังจะทำหน้าที่แนะนำให้ผู้อ่านงานวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาให้รู้ความเป็นมา
หลักการ เหตุผล ความสำคัญและปัญหาของวิทยานิพนธ์หรือเป็นการตอบคำถามว่า
ทำไมนักศึกษาจึงทำวิทยานิพนธ์เรื่องนี้ การเขียนภูมิหลังอาจเรียกได้ว่าเป็นงานยากสุดในกระบวนการเรียบเรียงวิทยานิพนธ์
จึงไม่เป็นแปลกที่ นักศึกษาส่วนใหญ่จะกังวลเมื่อเริ่มลงมือเขียนภูมิหลัง
บางคนไม่มีประสบการณ์ในการเขียนงานวิชาการมาก่อน
จึงจับต้นชนปลายไม่ถูกและไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไร บางทีอาจเสียเวลามาก จนถึงเกินความเบื่อหน่ายได้
ดังนั้นภูมิหลังมีหลักในการเขียนดังนี้
1) ภูมิหลังโดยทั่วไปมีประมาณ 3-5 หน้า
และมีย่อหน้าไม่เกิน 7 ย่อหน้า
เพราะการเขียนภูมิหลังเป็นการเขียนความเรียงแบบต่อเนื่องเรื่องเดียวกัน ยิ่งมีย่อหน้ามากเท่าไรจะเป็นภูมิหลังตัดปะ
กล่าวคือ
การนำบทความของงานเขียนของนักวิชาการมาเขียนต่อกัน
ทำให้อ่านแล้วไม่ได้ใจความสำคัญว่ากล่าวถึงเรื่องใด
2) ความสอดคล้องกับชื่อเรื่อง
การเขียนภูมิหลังต้องมีความสอดคล้องกับชื่อเรื่องที่ทำ ข้อบกพร่องที่พบส่วนใหญ่ นักศึกษามักจะยกเอาเรื่องที่ล้าสมัยมาเขียนและไม่สอดคล้องกับสภาพปัจจุบันมาอ้าง
ดังนั้นการเขียนต้องมีความสอดคล้องกับชื่อเรื่องโดยเริ่มตั้งแต่ย่อหน้าแรกถึงย่อหน้าสุดท้าย เช่น
ศึกษาเรื่อง แนวทางการพัฒนาการเรียนการสอนทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning) สำหรับสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย
เนื้อเรื่องหรือคำกล่าวที่เขียนในภูมิหลังต้องเกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนทางอิเล็กทรอนิกส์(e-Learning) หัวข้อจะนำเขียนภูมิหลังคือ
หลักการ ความสำคัญหรือเหตุผลและปัญหาของการเรียนการสอนทางอิเล็กทรอนิกส์(e-Learning) ในสถาบันอุดมศึกษา
รวมถึงสภาพปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร
ดังนั้นการนำเอาคำกล่าวของคนอื่นมาเขียนควรเป็นปัจจุบันมากที่สุด
ไม่กล่าวหรือเรียบเรียงห่างจากชื่อเรื่องมากเกินไป ควรสั้น กะทัดรัด
ตรงตามชื่อเรื่องมากที่สุด
โดยเมื่ออ่านภูมิหลังจบต้องรู้ทันทีว่ากำลังจะศึกษาเรื่องดังกล่าวมาข้างตน
และย่อหน้าสุดท้ายผู้ทำวิทยานิพนธ์จะสรุปว่าจากหลักการและเหตุผลดังกล่าว
ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาเรื่องดังกล่าว
และกล่าวถึงประโยชน์ที่ได้รับหลังจากการทำวิทยานิพนธ์เสร็จสิ้นแล้วประมาณ 2-3
บรรทัด
3) ชี้ปัญหา ความสำคัญชัดเจนและชี้ถึงแนวโน้มในอนาคต
ข้อบกพร่องที่พบในภูมิหลัง พบว่า
นักศึกษาเขียนปัญหาไม่ชัดเจนในการวิจัยคืออะไร
เหตุใดผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาเรื่องนั้น
ดังนั้นการเขียนภูมิหลังต้องชี้ปัญหาและความสำคัญชัดเจน เช่น ศึกษาเรื่อง การเปรียบเทียบผลการเรียนรู้จากบทเรียนบนระบบเครือข่ายรายวิชาการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ของนิสิตระดับบัณฑิตศึกษา
มหาวิทยาลัยมหาสารคามที่มีรูปแบบการเรียน(Learning
Style) ต่างกัน
การเขียนภูมิหลังต้องกล่าวถึงความสำคัญหรือปัญหาในปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร
มีความสำคัญอย่างไรถึงศึกษาเรื่องนี้มีจุดเด่นหรือดีกว่าการเรียนแบบปกติอย่างไร
แบบเรียนแบบต่าง ๆ
ส่งเสริมการเรียนรู้อย่างไร ซึ่งปัญหาและความสำคัญมาจาก การเปลี่ยนแปลงทางสังคม
ทฤษฏีและบทความวิชาการ ความเคลื่อนไหวทางการวิจัยที่ตนศึกษา แต่อย่างไรก็ตามการยกข้อความหรือคำกล่าวของคนอื่น
มาเขียนควรมีการวิเคราะห์หรือเลือกให้เหมาะสมกับชื่อเรื่องของเรา
เพราะบางครั้งคำกล่าวที่ยกมาอาจจะตรงกับปัญหาหรือความสำคัญเฉพาะบางส่วนเท่านั้น
ส่วนที่เหลือไม่เกี่ยวข้องเลย และอีกประการหนึ่งการเขียนภูมิหลัง
ไม่ควรนำเอาความคิดเห็นส่วนตัวที่พบหรือเหตุการณ์ที่จะมีผลต่อการทำวิจัย
4) ใช้กรอบแนวคิดของผู้วิจัย สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง
ภูมิหลังที่เขียนต้องอยู่ในกรอบของการวิจัย
เฉพาะจงเจาะเรื่องที่ศึกษาหรือวิจัยอย่างชัดเจน
เพราะกรอบแนวคิดในการวิจัยจะประกอบด้วยตัวแปรและความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร
ซึ่งนักศึกษาจะได้แนวทางในการเขียนภูมิหลังที่ง่ายขึ้นและทิศทาง มีความสัมพันธ์ของเรื่องที่เขียนสอดคล้องกันตามลำดับ
และมีความเป็นเหตุเป็นผลในการเขียนภูมิหลังด้วย
5) ใช้ภาษา ถูกต้อง ต่อเนื่อง
ประการสุดท้ายที่มีสำคัญเช่นเดียวกัน
เนื่องจากวิทยานิพนธ์เป็นผลงานวิชาการ
การเขียนต้องใช้ภาษาเขียนที่มีถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ไม่ควรใช้ภาษาพูดในการเขียนภูมิหลังวิทยานิพนธ์ ส่วนใหญ่แล้วมักจะพบการใช้ภาษาที่ผิด เช่น
ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป
ประโยคที่เขียนถูกต้อง คือ ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อไป
ดังนั้นการใช้ภาษาที่ถูกต้องจึงมีความสำคัญและภูมิหลังนั้นการเขียนควรมีความต่อเนื่องทั้งการเชื่อมคำไม่ควรใช้คำว่าและ
หรือ ก็
ซึ่ง
ในการเชื่อมประโยคมากเกินไปและที่สำคัญระหว่างย่อหน้าและย่อหน้าถัดไปต้องมีความต่อเนื่องเป็นเรื่องเดียวกัน
กล่าวถึงเรื่องที่ศึกษาอย่างชัดเจนตั้งแต่ย่อหน้าแรกถึงย่อหน้าสุดท้าย ที่มาของเนื้อหาภูมิหลัง ปัญหาที่มักนักศึกษา คิดไม่ออกประการหนึ่ง แล้วจะเอาเนื้อหา สาระ อะไรนำมาเขียนในภูมิหลัง เพื่อให้ภูมิหลังมีความชัดเจน ตรงประเด็นที่ศึกษามากที่สุด แหล่งของเนื้อหาที่จะมาสนับสนุนการเขียนภูมิหลัง ได้แก่
1. สภาพปัญหา อดีต ปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต นักศึกษา
พยายามหาข้อมูล หลักฐานมาเสนอให้ผู้อ่านเห็นว่า หัวข้อเรื่องวิทยานิพนธ์ที่จะศึกษา วิจัย ในปัจจุบันเป็นปัญหา อุปสรรค อย่างไร ต้องหาทางแก้ไขหรือขจัดปัญหาดังกล่าว
2. แนวคิด ทฤษฏีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง นักศึกษาต้องพยายามหา
แนวคิด ทฤษฏีที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อเรื่องวิทยานิพนธ์
ว่าเป็นอย่างไร คิดเลือก สังเคราะห์แนวคิด ทฤษฏีที่น่าเชื่อถือ เป็นปัจจุบัน และสอดคล้องกับหัวข้อเรื่องมาเสนอ
3.
ผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
นักศึกษาจะต้องเสนอผลงานวิจัยคนอื่น
ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อเรื่องวิทยานิพนธ์ที่ศึกษา วิจัย สรุป
ชี้ประเด็นให้เห็นว่า ที่ผ่านมีใครวิจัยไว้บ้างแล้ว ทำในลักษณะใด ศึกษากับใครและได้ผลอย่างไร
จากข้อมูลทั้งหมด
นักศึกษาสรุปต่อท้าย สัก 2-3 บรรทัด ชี้ให้เห็นว่า
หัวข้อเรื่องวิทยานิพนธ์ที่ทำยังไม่มีคำตอบและสามารถจะหาคำตอบได้
และคำตอบที่ได้จะเป็นประโยชน์อย่างไร
ข้อบกพร่องที่พบในภูมิหลัง
1.
การอธิบายหลักการสำคัญที่ไกลจากปัญหาวิจัยมาก
และมีการเอกสาร
แหล่งค้นที่ไม่ค่อยสำคัญมากนัก 2. มักยกคำกล่าวอ้างของนักการศึกษาดัง ๆ ของประเทศที่ปรากฏตาม
หนังสือพิมพ์หรือเอกสารต่าง ๆ ข้อความเหล่านี้จริง ๆ แล้ว เป็นเพียงความรู้สึกของผู้พูด ซึ่งไม่มีความหนักแน่น
3. ไม่สามารถหาเหตุผลอธิบายได้ว่าทำไมจึงต้องการศึกษาในประเด็นวิจัยนั้น ๆ ส่วนใหญ่จะระบุว่า ผู้วิจัยสนใจจะศึกษา ……. และลงท้ายด้วยประโยคที่ชี้ให้เห็นความสำคัญของการศึกษาประเด็นนี้อีกประมาณ 1 – 2 ประโยค
การเขียนภูมิหลังไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัว ที่สำคัญภูมิหลังต้องมีความชัดเจน สั้นกะทัดรัดได้ใจความสำคัญ ชี้ถึงปัญหาและความสำคัญอย่างชัดเจน อยู่ในกรอบแนวคิดของการวิจัย ใช้ภาษาถูกต้อง ต่อเนื่อง และที่สำคัญสอดคล้องกับชื่อเรื่องที่ นักศึกษาทำ ซึ่งการเขียนภูมิหลังให้ดี ต้องเกิดจาการการศึกษาค้นคว้า การอ่าน การศึกษาที่เป็นปัจจุบันและเข้าใจปัญหาเรื่องที่ศึกษาอย่างอย่างชัดแจ้ง
2
การเขียนวัตถุประสงค์หรือความมุ่งหมายของการวิจัย ในเค้าโครงวิทยานิพนธ์นักศึกษามักจะเขียนจุดมุ่งหมายไม่ครอบคลุมและไม่ชัดเจน
รวมถึงตั้งจุดมุ่งหมายของการวิจัยไม่ได้
ทั้งนี้เนื่องจากขาดความแตกฉานในเรื่องที่ศึกษา
ไม่เข้าใจกรอบแนวคิดในการวิจัยอย่างชัดแจ้ง
ดังนั้นการเขียนจุดมุ่งหมายของวิจัยมีหลักในการเขียนดังนี้
1) การตั้งจุดมุ่งหมายของการวิจัย
จะตั้งเป็นข้อหรือไม่เป็นข้อก็ได้
ทั้งขึ้นอยู่กับสิ่งที่ต้องการศึกษาหรือประเภทของงานวิจัย
ถ้าเป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ จะตั้งเป็นข้อ ๆ
และงานวิจัยเชิงคุณภาพส่วนใหญ่จะไม่แยกข้อ
2) จุดมุ่งหมายของการวิจัย มาจากชื่อเรื่องและตัวแปรของการวิจัย เอามาตั้งเป็นจุดมุ่งหมายของการวิจัย
ตัวอย่างเช่น
2.1) ศึกษาเรื่อง
แนวโน้มการดำเนินงานห้องสมุดประชาชนอำเภอในทศวรรษหน้าโดยใช้เทคนิคเดลฟาย(อุบล
โคตา : 2545)
ความมุ่งหมายของการวิจัย คือ เพื่อศึกษาแนวโน้มการดำเนินงานห้องสมุดประชาชนอำเภอในทศวรรษหน้าโดยใช้เทคนิคเดลฟาย
2.2) ศึกษาเรื่อง
เจตคติและความเครียดของข้าราชการครูที่มีต่อการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุดรธานี (พนารัตน์ ขุราษี : 2547)ความมุ่งหมายของการวิจัย
คือ
- เพื่อศึกษาเจตคติของข้าราชการครูที่มีต่อการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
(มาจากชื่อเรื่อง)
-
เพื่อศึกษาระดับความเครียดของข้าราชการครูที่มีต่อการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน(มาจากชื่อเรื่อง)
-
เพื่อเปรียบเทียบเจตคติของข้าราชการครูต่อการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีประสบการณ์ในการสอน
ประสบการณ์ในการอบรมการจัดทำหลักสูตร
ขนาดของโรงเรียนและระดับช่วงชั้นที่จัดทำหลักสูตรสถานศึกษา (ตัวแปร)
2.3) การตั้งจุดมุ่งหมายของการวิจัย
ส่วนใหญ่จะขึ้นต้นด้วยคำว่า เพื่อ
เพื่อศึกษา เพื่อหา
เพื่อเปรียบเทียบ เป็นต้น แล้วตามด้วยชื่อเรื่องวิจัยและตัวแปรการวิจัย
ตัวอย่างเช่น เพื่อศึกษาเจตคติของข้าราชการครูที่มีต่อการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน(ชื่อเรื่อง)
2.4
) การตั้งจุดมุ่งหมายของการวิจัย
ต้องมีความชัดเจนเข้าใจง่าย ไม่
ซ้ำซ้อนและครอบคลุมประเด็นที่ศึกษา
หากนักศึกษาเข้าใจหรือวิเคราะห์หัวเรื่องได้ดี
จะสามารถแยกแยะว่าต้องการจะศึกษาเรื่องอะไรบ้างหรือมีเรื่องอะไรบ้างที่ต้องศึกษาและยังอาจแบ่งเป็นประเด็นย่อย
ทำให้มีความละเอียดเพิ่มขึ้น
การตั้งจุดมุ่งหมายก็จะมีความชัดเจนยิ่งขึ้น
ซึ่งกระบวนการแยกแยะและตั้งจุดมุ่งหมายจะช่วยทำให้นักศึกษาเข้าใจและทราบต่อไปว่า
ตนเองจะเก็บรวบรวมข้อมูลอะไรบ้างและข้อมูลที่จัดเก็บใช้เครื่องมืออะไร จะต้องมีความละเอียดมากน้อยเพียงใด
จะได้เห็นว่าการตั้งจุดมุ่งหมายของการวิจัยเปรียบเสมือนเครื่องชี้ทาง ซึ่งช่วยนักศึกษาให้เก็บข้อมูลได้ถูกต้องตามจุดมุ่งหมายของการวิจัย ตัวอย่างเช่น
- เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยบทเรียนบนเครือข่าย เรื่อง ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารและสืบค้น แสดงว่า นักศึกษาต้องเก็บข้อมูล 2 ครั้ง
คือก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยบทเรียนบนเครือข่าย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
เป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
2.5)
การตั้งจุดมุ่งหมายของการวิจัยต้องเป็นประโยคบอกเล่า
2.6) จุดมุ่งหมายที่ตั้งขึ้น สามารถตั้งสมมติฐานตรวจสอบหรือทดสอบได้กล่าวคือ
ในงานวิจัยเชิงปริมาณส่วนใหญ่จะมีสมมติฐาน
เมื่อนักศึกษาตั้งจุดมุ่งหมายของการวิจัยขึ้นแล้วต้องทดสอบได้
ตัวอย่างเช่น
ความมุ่งหมายของการวิจัย
เพื่อเปรียบเทียบเจตคติของข้าราชการครูต่อการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีประสบการณ์ในการสอน
ประสบการณ์ในการอบรมการจัดทำหลักสูตร
ขนาดของโรงเรียนและระดับช่วงชั้นที่จัดทำหลักสูตรสถานศึกษา
สมมติฐานของการวิจัย
ข้าราชการที่มีประสบการณ์ในการสอน ประสบการณ์ในการอบรมการจัดทำหลักสูตร ขนาดของโรงเรียนและระดับช่วงชั้นที่จัดทำหลักสูตรต่างกันมีเจตคติต่อการทำหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐานแตกต่างกัน
การทดสอบในที่นี้คือการทดสอบด้วยวิธีการทางสถิติ เช่น
- ประสบการณ์ในการสอน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ ประสบการณ์น้อยกว่า 5
ปีและประสบการณ์มากกว่า 5 ปีขึ้นไป สถิติที่ใช้ในการทดสอบคือ t-test (Independent
sample t-test)
- ขนาดโรงเรียน แบ่งออกเป็น 3 ขนาด
คือ ขนาดเล็ก ขนาดกลางและขนาดใหญ่ สถิติที่ใช้ในการทดสอบ คือ One- way ANOVA (analysis of variance)
2.7) มีความสัมพันธ์ระหว่างประเด็นหรือหัวข้อจุดมุ่งหมายของการวิจัย นอกจากจุดมุ่งหมายที่ตั้งขึ้นจะมีความชัดเจนเข้าใจง่าย
ไม่ซ้ำซ้อนแล้ว
นักศึกษาต้องจัดอันดับให้เห็นความสัมพันธ์กันหรือให้เห็นความลดหลั่นถึงความสำคัญของจุดมุ่งหมายของการวิจัย
3 การเขียนความสำคัญของการวิจัย
ความสำคัญของการวิจัยเป็นการบ่งชี้ว่าหลังจากทำวิทยานิพนธ์เสร็จแล้ว
จะได้อะไรบ้างในแง่ของประโยชน์ที่คาดจะได้รับ
ความรู้ที่ได้จากการทำวิทยานิพนธ์และ
สามารถนำผลการวิจัยไปประยุกต์ได้ในด้านใดบ้าง
ซึ่งความสำคัญของการวิจัยมีหลักการเขียนดังนี้
1) ไม่ขึ้นต้นด้วยคำว่า เพื่อ
ความสำคัญของการวิจัยเป็นผลที่คาดจะได้รับ
ดังนั้นการเขียนควรระบุลงไปเลยว่างานวิทยานิพนธ์เรื่องนี้
หลังจากเสร็จแล้วจะได้อะไรบ้าง มีประโยชน์ในแง่ใด
นำผลไปพัฒนาได้อย่างไร
2) อยู่ในขอบเขตของการวิจัย
นักศึกษาต้องเขียนความสำคัญของการวิจัยให้อยู่ขอบเขตของการวิจัย
ไม่ควรอ้างความสำคัญของการวิจัยเกินขอบเขตของการวิจัยในเรื่องที่ศึกษา เช่น
ผลจากการวิจัยหน่วยงานหรือองค์กรจะนำผลการวิจัยไปใช้ในการพัฒนาหน่วยงาน
แต่หลังจากอ่านผลการวิจัยทั้งหมดแล้ว ไม่มีส่วนใดหรือผลการวิจัยที่หน่วยงานนำไปใช้พัฒนาหน่วยงานได้เลย
ดังนั้นการเขียนความสำคัญต้องระบุความสำคัญที่เป็นไปได้ในการนำไปใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง
3) เขียนความสำคัญให้ชัดเจน ชัดเจนในด้านประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ด้านความรู้ ด้านการประยุกต์ใช้ และที่สำคัญเขียนให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการวิจัย ความสอดคล้องถือว่ามีความสำคัญ
ความสำคัญของการวิจัยกับจุดมุ่งหมายของการวิจัยมีความสัมพันธ์กัน
ดังนั้นความชัดเจน
คือสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้และในแง่ผลการวิจัยที่จะนำไปใช้ได้จริง
ตัวอย่างเช่น ศึกษาเรื่อง
แนวโน้มการดำเนินงานห้องสมุดประชาชนอำเภอในทศวรรษหน้าโดยใช้เทคนิคเดลฟาย
ความสำคัญของการวิจัย คือ
ผลการวิจัยจะเป็นข้อสนเทศสำหรับกรมการศึกษานอกโรงเรียนและผู้ที่เกี่ยวข้อง นำไปใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจ วางแผน ปรับปรุงการดำเนินห้องสมุดประชาชนอำเภอ
ทั้งในปัจจุบันและอนาคตให้เกิดประโยชน์ต่อการศึกษาของประชาชนยิ่งขึ้น
4 กรอบแนวคิดในการวิจัย (ถ้ามี)
กรอบแนวคิดในการวิจัย
(Conceptual framework)ถือว่ามีความสำคัญเช่นเดียวกัน
ในงานวิทยานิพนธ์อาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชื่อเรื่องที่ศึกษาและประเภทของงานวิจัย ซึ่งกรอบแนวคิดในการวิจัย หมายถึง กรอบของการวิจัยในด้านเนื้อหาสาระ
ซึ่งประกอบด้วยตัวแปรและการระบุความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร(สุชาติ ประสิทธิ์รัฐสินธุ์, 2544
: 72)
และตัวแปรแต่ละตัวที่เลือกมาศึกษาจะต้องมีพื้นฐานทางทฤษฏีความมีเหตุมีผลว่ามีความสัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ต้องการศึกษา
มิใช่แต่เป็นการสุ่มเลือกตามใจของผู้วิจัยเอง
การที่ตัวแปรมีทฤษฏีอ้างอิงจะช่วยเพิ่มพูนความรู้ที่มีอยู่แล้วให้ถูกต้องและสมบูรณ์มากขึ้น เพราะจะได้ทดสอบทฤษฏีที่ได้ระบุตัวแปรนั้น
ๆว่าถูกต้องหรือไม่ นอกจากนี้ยังช่วยตีความหมายผลการวิจัยที่ได้
การวิจัยมิใช่มุ่งแต่การตัวเลขมายืนยันเท่านั้น
ดังนั้นกรอบแนวคิดต้องระบุว่ามีตัวแปรอะไรบ้างและตัวแปรเหล่านี้มีความสัมพันธ์กันอย่างไร
เป็นการช่วยให้นักศึกษาและผู้อื่นได้ทราบว่ามีแนวคิดอย่างไรเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการศึกษาและคิดว่าอะไรสัมพันธ์กับอะไรในรูปแบบใด
ทิศทางใด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในขั้นการเก็บรวบรวมข้อมูล การออกแบบการวิจัยและการวิเคราะห์ข้อมูล
ของการวิจัยด้วย
ที่มาของกรอบแนวคิดในการวิจัย ปัญหาอย่างหนึ่งที่นักศึกษา
คิดไม่ตกคือการได้มาของกรอบแนวคิดการวิจัยได้มาอย่างไร กรอบแนวคิดมีที่มาอยู่ 2 แหล่ง คือ
1) ผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง กล่าวคือ
งานวิจัยที่คนอื่นทำมาแล้วที่มีประเด็นตรงกับที่ศึกษา
หรือมีเนื้อหาสาระใกล้เคียงกัน มีตัวแปรบางตัวที่ต้องการศึกษารวมอยู่ด้วย
2) ทฤษฏีที่เกี่ยวข้อง นักศึกษาควรอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาทฤษฏีต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อเรื่องที่ศึกษา เพื่อทราบความรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร
การศึกษาทฤษฏีที่เกี่ยวข้องนอกจากจะชี้ให้เห็นว่าตัวแปรใดสำคัญและมีความสัมพันธ์กันอย่างไรแล้ว
ยังได้กรอบแนวคิดในการวิจัยที่ชัดเจนและมีเหตุมีผล
5 ขอบเขตของการวิจัย
ขอบเขตของการวิจัย
เป็นการเขียนอธิบายลักษณะหรือกรอบที่นักศึกษากำหนดว่าหัวข้อเรื่องนั้นจะศึกษากับใคร
ที่ไหน อย่างไร จำนวนเท่าไหร่
มีตัวแปรอะไรบ้าง และมีเนื้อหา(ถ้ามี)หรือใช้เวลาในการวิจัยเท่าใด
นักศึกษาต้องเขียนขอบเขตของการวิจัยให้ชัดเจนและครอบคลุมหัวข้อเรื่องด้วย
โดยทั่วไปแล้วขอบเขตของการวิจัยจะมีส่วนประกอบย่อยดังนี้
1) ประชากร
เป็นการเขียนอธิบายคุณสมบัติของประชากรที่ใช้ในการวิจัยว่าคือใคร ที่ไหน
ปีไหน จำนวนเท่าใด ตัวอย่างเช่น ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่
ข้าราชการครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุดรธานี ปีการศึกษา
2549 จำนวน 13,104 คน
2) กลุ่มตัวอย่าง
คือ ส่วนหนึ่งของประชากร
เป็นการเขียนอธิบายลักษณะกลุ่มตัวอย่างว่า
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือใคร ที่ไหน ปีไหน จำนวนเท่าใด
แต่ไม่ต้องเขียนอธิบายวิธีเลือกกลุ่มตัวอย่าง ตัวอย่างเช่น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่
ข้าราชการครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุดรธานี ปีการศึกษา
2549 จำนวน 500 คน
3) เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย(ถ้ามี) ส่วนมากพบในการวิจัยเชิงทดลอง
เป็นเขียนอธิบายหรือกำหนดขอบเขตของเนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยว่า
เนื้อหาวิชาอะไร เรื่องอะไร มีจำนวนกี่หน่วยหรือบท บางทีอาจจะบอกจำนวนคาบที่ใช้ในการสอน ตัวอย่างเช่น
เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ
รายวิชา 1601 505 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต แบ่งเป็น 2
หน่วยการเรียน คือ
หน่วยการเรียนที่ 1 เทคโนโลยีสารสนเทศ
หน่วยการเรียนที่
2 ICT
4)
ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย (ถ้ามี)
เป็นการเขียนอธิบายลักษณะของตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยว่าประกอบด้วยตัวแปรอะไรบ้าง โดยปกติแล้ว จะแบ่งออกเป็น 2
ตัวแปร คือ ตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม
ซึ่งการวิจัยจะมีคุณค่ามากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยด้วย ตัวอย่างเช่น
ตัวแปรอิสระ
ได้แก่
1. เพศ
จำแนกเป็น เพศชาย เพศหญิง
2. อายุ
จำแนกเป็น
2.1 อายุต่ำกว่า
20 ปี
2.2 อายุระหว่าง 21-25 ปี
2.3 อายุ 26 ปีขึ้นไป
ตัวแปรตาม ได้แก่ เจตคติต่อวิทยาศาสตร์
5) ระยะที่ใช้ในการวิจัยหรือการทดลอง(ถ้ามี)
เป็นการเขียนอธิบายบอกขอบเขตของการวิจัยตั้งแต่เริ่มจนจบกระบวนการวิจัยหรือ
บ่งบอกระยะเวลาที่ใช้ในการทดลองว่า เริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ ปีไหน สิ้นสุดเมื่อใด รวมจำนวนเท่าใด ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย คือ ภาคเรียนที่
1 ปีการศึกษา 2549 เริ่มตั้งแต่เดือน มิถุนายน ถึงเดือน สิงหาคม พ.ศ. 2549 จำนวน 3 เดือน
ตัวอย่างการเขียน
ขอบเขตของการวิจัย
1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่
ข้าราชการครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุดรธานี ปีการศึกษา
2549 จำนวน 13,104 คน
2.
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่
ข้าราชการครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุดรธานี ปีการศึกษา
2549 จำนวน 500 คน
3. เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ (ถ้ามี)คือ
รายวิชา 1601 505 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต แบ่งเป็น 2
หน่วยการเรียน คือ
หน่วยการเรียนที่ 1 เทคโนโลยีสารสนเทศ
หน่วยการเรียนที่ 2 ICT
4) ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ แบ่งออกเป็น
(ถ้ามี)
4.1 ตัวแปรอิสระ
ได้แก่
4.1.1
เพศ จำแนกเป็น เพศชาย
เพศหญิง
4.1.2
อายุ จำแนกเป็น
1) อายุต่ำกว่า
20 ปี
2) อายุระหว่าง 21-25 ปี
3) อายุ 26 ปีขึ้นไป
4.2
ตัวแปรตาม ได้แก่ เจตคติต่อวิทยาศาสตร์
5) ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย (ถ้ามี) คือ
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2549 เริ่มตั้งแต่เดือน มิถุนายน ถึงเดือน
สิงหาคม พ.ศ. 2549 จำนวน 3 เดือน
6 สมมุติฐานของการวิจัย
สมมติฐาน เป็นการกล่าวถึงข้อสันนิฐาน
ซึ่งเป็นข้อความที่คาดคะเนผลการวิจัยนั้นว่าจะค้นพบอย่างไร
การเขียนต้องอยู่บนพื้นฐานทฤษฏีและข้อเท็จจริง ตัวอย่างเช่น
ความพอใจในการทำงานมีผลต่อประสิทธิภาพของงานเพิ่มขึ้น
จะเห็นได้ว่าข้อความมีความเชื่อมโยงระหว่างตัวแปร 2 ตัว ตัวแปรแรก คือ
ความพอใจในการทำงาน
ตัวแปรที่สอง ประสิทธิภาพของงาน
ดังนั้นการเขียนสมมติฐานที่ดีและถูกต้องไม่ใช่เรื่องที่ง่าย
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ทั้งนี้เพราะการเขียนสมมติฐานที่ดีนั้นมีหลักเกณฑ์การเขียน
ดังนี้
1) สมมติฐานที่สร้างขึ้นต้องสอดคล้องกับความมุ่งหมายของการวิจัย
2)
ควรเขียนข้อความที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตาม
และกำหนดทิศทางของความสัมพันธ์ให้ชัดเจน
3)
ไม่ควรเขียนในรูปสมมติฐานเป็นกลางเหมือนสมมติฐานทางสถิติ
เว้นแต่การวิจัยนั้นยังขาดข้อเท็จจริงหรือขัดแย้ง
ขาดข้อมูล หรือผลการวิจัยสนับสนุน
4) สามารถทดสอบได้ เช่น ด้วยวิธีการทางสถิติ ข้อมูลหรือหลักฐานต่าง ๆ
5) เขียนจากหลักการ เหตุผล
ผลงานวิจัยที่เคยทำมาแล้วที่นักศึกษาได้ศึกษาจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น วิทยานิพนธ์
บทความ วารสาร อินเทอร์เน็ต
6) ใช้ภาษาที่ชัดเจน เข้าใจง่ายและรัดกุม
จะเห็นได้ว่าการเขียนสมมติฐานที่ดีจะต้องระบุความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม
มีการกำหนดให้เห็นทิศทางของความสัมพันธ์ว่าเป็นไปในทางใด เช่น
มากกว่า น้อยกว่า
แตกต่างหรือไม่แตกต่าง
ตัวอย่างการเขียนสมมติฐาน
ความมุ่งหมายของการวิจัยว่า
เพื่อเปรียบเทียบเจตคติของข้าราชการครูต่อการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีประสบการณ์ในการสอน
ประสบการณ์ในการอบรมการจัดทำหลักสูตร
ขนาดของโรงเรียนและระดับช่วงชั้นที่จัดทำหลักสูตรสถานศึกษา
สมมติฐานของการวิจัย
คือ ข้าราชการที่มีประสบการณ์ในการสอน
ประสบการณ์ในการอบรมการจัดทำหลักสูตร
ขนาดของโรงเรียนและระดับช่วงชั้นที่จัดทำหลักสูตรต่างกันมีเจตคติต่อการทำหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐานแตกต่างกัน
7. ข้อตกลงเบื้องต้น(ถ้ามี)
ข้อตกลงเบื้อต้น หมายถึง
ข้อความที่บ่งบอกถึงสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งนักศึกษา
ที่เป็นผู้วิจัยจะเป็นผู้รู้ดีที่สุดว่าจะเขียนข้อตกลงเบื้องต้นอย่างไรบ้าง
การเขียนสามารถเขียนเป็นข้อหรือความเรียงได้ตามเหมาะสมของงานวิจัยประเภทนั้น
เช่น นิสิตตอบแบบสอบถามด้วยความเต็มใจ
8. นิยามศัพท์เฉพาะ
นิยามศัพท์เฉพาะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวิจัย
ทั้งนี้เพราะในการศึกษาหรือวิจัย
ผู้ที่ทำวิจัยไม่สามารถที่จะอธิบายข้อเท็จจริงทุกอย่างได้ทั้งหมด การให้คำอธิบายที่จำเป็นในเรื่องที่ผู้วิจัยกำลังศึกษาอยู่
จึงเป็นสิ่งจำเป็น อาจจะเป็นนิยามตัวแปร ศัพท์ที่จำเป็น
ซึ่งคำที่จะนำมานิยามเป็นนิยามศัพท์เฉพาะก็มาจากชื่อเรื่อง นั่นเอง ในการเขียนนิยามศัพท์เฉพาะมีหลักเกณฑ์ในการเขียน
ดังนี้
1) ให้เลือกนิยามศัพท์เฉพาะที่จำเป็นที่มาจากชื่อเรื่องหรือตัวแปรที่เกี่ยวข้อง
เน้นให้ผู้อ่านเข้าใจตรงกับผู้วิจัยศึกษา
เช่น ศึกษาเรื่อง
แนวทางการพัฒนาการเรียนการสอนทางอิเล็กทรอนิกส์(e-Learning) สำหรับสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย
นิยามศัพท์เฉพาะที่ต้องนิยามคือ 1) e-Learning หมายถึง
2) การเรียนการสอนอิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning) หมายถึง 3)
สถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย หมายถึง
เป็นต้น
2) การเขียนนิยามศัพท์เฉพาะ นักศึกษา
สามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม มี 2 ลักษณะ คือ
2.1) นิยามแบบทั่วไป คือ การยกนิยามที่ระบุไว้ในพจนานุกรม สารนุกรม ตำรา วารสาร ฯลฯ
2.2) นิยามปฏิบัติการ คือ
การนิยามที่นอกเหนือจากให้ความหมายของคำนั้นแล้ว
โดยนักศึกษาหรือผู้วิจัย เป็นผู้ให้นิยามเอง
เน้นเฉพาะเจาะจงสำหรับวิทยานิพนธ์เรื่องนี้ที่ศึกษาเท่านั้น
3) กรณีที่นักศึกษา ยกนิยามของคนอื่นมาจะต้องเขียนอ้างอิงกำกับไว้ด้วย
4) นิยามศัพท์ที่นำมานิยาม
ต้องเขียนศัพท์ภาษาอังกฤษกำกับไว้ด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น