การเลือกหัวข้อเรื่องทำวิทยานิพนธ์
เมื่อนักศึกษาเลือกอาจารย์ที่ปรึกษาได้แล้ว สิ่งที่จะทำในขั้นตอนต่อไปคือ การกำหนดหัวข้อเรื่องที่จะทำวิทยานิพนธ์ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเริ่มต้นทำวิทยานิพนธ์ การกำหนดหัวข้อเรื่องวิทยานิพนธ์ได้เร็วเท่าไหร่ การทำวิทยานิพนธ์ก็จะประสบความสำเร็จเร็วเช่นกัน ดังคำกล่าวที่ว่า การกำหนดหัวข้อเรื่องวิทยานิพนธ์ที่จะสามารถทำได้ตามเวลากำหนดและนักศึกษามีความรู้ ความสามารถในเรื่องนั้น ถือว่าสำเร็จแล้วครึ่งทาง ส่วนที่เหลือเป็นกระบวนการทำวิทยานิพนธ์ ดังนั้น นักศึกษาจะต้องกำหนดหัวข้อเรื่องที่ดีที่สุดและมีความเหมาะสมกับความรู้ ความสามารถ เวลา ค่าใช้จ่าย ซึ่งการเลือกหัวข้อเรื่องวิทยานิพนธ์ควรยึดหลักดังนี้
1. เป็นเรื่องที่นักศึกษามีความสนใจ อยากจะทำ อยากศึกษาค้นคว้าอย่างแท้จริง เพราะจะทำให้มีแรงจูงใจในการทำวิทยานิพนธ์ มีความสนใจที่อยากจะทำให้สำเร็จ มีความอยากจะรู้ผลการวิจัยและที่สำคัญมีความแรงกล้าที่อยากทำและปกป้องเรื่องที่ตนเองศึกษาอย่างแท้จริง นักศึกษาไม่ควรเลือกทำเรื่อง เพียงเพื่อสำเร็จตามหลักสูตรการศึกษาเท่านั้น หรือแม้แต่เลือกตามอาจารย์ที่ปรึกษากำหนดให้หัวข้อมาหรือเป็น ส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยหลักของอาจารย์ที่ปรึกษาที่มอบหมายให้นักศึกษาต้องทำทั้งไม่สนใจหรือสนใจน้อย ซึ่งจะทำให้ขาดแรงกระตุ้นที่อยากจะทำ รวมทั้งความอยากรู้อยากเห็นผลงานวิจัยที่ออกมา ส่งผลถึงคุณภาพของงานวิทยานิพนธ์ที่ด้อยคุณภาพและขาดความรู้สึกเป็นเจ้าของงานวิทยานิพนธ์เรื่องที่ทำด้วย
2. เป็นเรื่องที่นักศึกษา เลือกแล้วคาดว่าจะทำสำเร็จบรรลุเป้าหมายตามเวลากำหนดและไม่ขัดแย้งกับแนวคิดของอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ โดยทั่วไปสถาบันแต่ละแห่งให้ระยะเวลาแก่ นักศึกษาในการทำวิทยานิพนธ์ไม่เท่ากัน ส่วนใหญ่ ระยะเวลาในการทำตั้งแต่ 8 เดือนถึง 20 เดือน ถึงแม้ว่าเวลาที่ใช้มีมาก นักศึกษาต้องทำให้หัวข้อเรื่องแคบเข้า เพื่อได้ศึกษาในแนวลึกภายในเวลาที่เหมาะสม บางครั้ง นักศึกษานึกถึงหัวข้อที่ยิ่งใหญ่เกินไปทำให้เสียเวลาในการทำได้ มีกรณีตัวอย่าง เช่น นักศึกษา ก เลือกหัวข้อเรื่องที่จะทำวิทยานิพนธ์และคาดว่าจะทำสำเร็จด้วยดี แต่ปรากฏว่าอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ไม่เห็นด้วยหรือเห็นด้วยกับเรื่องที่จะทำน้อย ทำให้นักศึกษากับอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์เข้ากันไม่ได้ ส่งผลกระทบต่อวิทยานิพนธ์ที่จะทำโดยตรงเช่นกัน ดังนั้นการเลือกหัวข้อเรื่องที่มีความเป็นไปได้สูงที่คาดว่าจะทำสำเร็จ ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบดังนี้
2.1 นักศึกษาต้องมีความรู้ ความสามารถ มีความรู้พื้นฐานดีในเรื่องที่จะทำวิทยานิพนธ์ ควรเลือกทำในสาขาที่ตนเองถนัด มีความชำนาญในเรื่องนั้นซึ่งแยกได้ 2 กลุ่ม คือ
2.1.1 กรณีนักศึกษาที่ทำงานแล้ว ควรเลือกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานที่ทำเพื่อจะได้นำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ได้ด้วย รวมทั้งมีความเป็นที่ได้ที่จะทำสำเร็จ มีความเป็นไปได้สูงเช่นกัน เช่น นักศึกษา เป็นครูสอนวิชาเคมี เรื่องที่เลือกจะทำก็ควรจะเกี่ยวข้องกับงานที่ทำด้วย ตัวอย่างเช่น เจตคตินักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ต่อวิชาเคมี ความสัมพันธ์ระหว่างความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์กับเจตคติทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 วิธีที่ง่ายที่สุดในการหาหัวข้อ คือ การขอคำแนะนำจากอาจารย์ที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญในเรื่องที่ นักศึกษาต้องการศึกษา และสร้างความคุ้นเคยกับสาขานั้น ๆ โดยอ่านเอกสาร งานวิจัยอย่างกว้างขวาง ข้อพึงระวังอย่างยิ่งคือ การสร้างหัวข้อโดยปราศจากความคุ้นเคยในศาสตร์นั้น ๆ เป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง ต้องศึกษาจากเอกสารที่เกี่ยวข้องในสาขานั้น ๆ เพื่อให้รู้ว่าหัวข้อที่เลือกมีความเหมาะสมและน่าสนใจที่จะศึกษาหรือไม่
2.1.2 กรณีนักศึกษายังไม่ทำงาน ควรเลือกหัวเรื่องที่ใกล้เคียงกับความรู้หรือฐานความรู้ที่มีอยู่ ซึ่งจะทำให้วิทยานิพนธ์มีความสำเร็จเป็นไปได้สูง นักศึกษามีความอยากทำมากขึ้น เพราะเป็นเรื่องที่มีความรู้เป็นฐานเดิมอยู่แล้ว ถ้านักศึกษาที่จบปริญญาตรีทางวิทยาศาสตร์ สาขาเคมี ควรเลือกหัวเรื่องที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เช่น เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเจคติทางวิทยาศาสตร์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หรือจบทางคอมพิวเตอร์ ควรศึกษาเกี่ยวกับ การผลิตสื่อการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ เป็นต้น
2.2 มีความเป็นไปได้สูงที่จะทำได้สำเร็จ กล่าวคือ เรื่องที่เลือกศึกษามีแนวทางชัดเจนอยู่พื้นฐานแห่ง กฎ ทฤษฏี หลักการ และตำรา รายงานการวิจัยที่จะศึกษาเป็นแนวทางได้
2.3 มีเครื่องมือการวิจัยหรือเก็บรวบรวมข้อมูล อุปกรณ์ที่มีคุณภาพ ประสิทธิภาพในการศึกษาค้นคว้า และสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการวิจัยหรือเรื่องที่ศึกษาอย่างชัดเจนและถูกต้อง
2.4 มีแหล่งศึกษาค้นคว้ากับเรื่องที่จะทำวิจัยอย่างเพียงพอ เช่น ห้องสมุดหรือสำนักวิทยบริการ วารสาร รายการวิจัย วิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวข้อง ฐานข้อมูลการวิจัยและมีความสะดวกในการสืบค้นจากระบบอินเทอร์เน็ตหรือจากฐานข้อมูลนั้น
2.5 มีความสะดวกในการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิจัยสำเร็จลงได้และมีคุณภาพขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ ตรงตามกลุ่มตัวอย่างที่สุ่มหรือเลือกไว้ ดังนั้นการเก็บรวบรวมข้อมูลบางกรณีต้องได้รับความร่วมมือจากบุคคลในองค์กร หน่วยงานและสถาบันการศึกษา เช่น ได้รับอนุญาตให้เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยความเต็มใจ รวมทั้งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากกลุ่มตัวอย่างมีความเต็มใจ และตั้งใจทำแบบสอบถาม แบบทดสอบ หรือให้การสัมภาษณ์ หรือการทดลองของกระบวนการทำวิทยานิพนธ์
2.6 มีงบประมาณเพียงพอในการดำเนินการวิทยานิพนธ์ตั้งแต่เริ่มจนเสร็จสิ้นของการทำ เพราะหากงบประมาณไม่เพียงพอทำให้การดำเนินการหยุดชะงักไม่สำเร็จตามวันเวลาหรือเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้ ดังนั้นงบประมาณถือเป็นสำคัญเช่นกัน กรณีนักศึกษาทำวิทยานิพนธ์เชิงคุณภาพ เช่น แนวทางการพัฒนาการเรียนการสอนทางอิเล็กทรอนิกส์(e-Learning) สำหรับสถาบันอุดมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้เชี่ยวชาญที่อยู่หลายที่และรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ นักศึกษา จะต้องเดินทาง งบประมาณ ค่าใช้จ่ายจะมากขึ้น มากกว่าการเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถาม ดังนั้นต้องมีการวางแผนการดำเนินการเก็บข้อมูลอย่างรัดกุม เพื่อประหยัดงบประมาณและควบคุมงบประมาณให้เป็นไปตามที่ตั้งไว้หรือถ้าคาดเคลื่อนก็ไม่เกินงบประมาณที่ตั้งไว้จนมากเกินไป
3. เป็นเรื่องที่นักศึกษาสนใจตลอดจนเสร็จสิ้นกระบวนการศึกษาค้นคว้าอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นเหตุผลหลักสำคัญที่ขาดไม่ได้เช่นกัน เนื่องจากนักศึกษา ผู้ทำวิทยานิพนธ์ หัวข้อจึงควรดึงความสนใจ เพราะจะเป็นแรงผลักดันให้นักศึกษามีความกระตือรือร้นในการทำวิทยานิพนธ์ เพื่อความอยากรู้ ความอยากเห็นคำตอบจะเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นแรงจูงใจและสร้างความเพียรพยายามในการทำวิทยานิพนธ์ จะทำให้วิทยานิพนธ์สำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ ดังนั้นไม่ควรเลือกตามใจคนอื่น หรือตามใจอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อจบการศึกษาตามหลักสูตรเท่านั้น โดยที่ตนเองไม่มีความสนใจเลย หลีกเลี่ยงหัวข้อที่ไม่ตรงกับความสามารถของตน เช่น นักศึกษาที่ขาดความรู้ทางคอมพิวเตอร์ ก็ไม่ควรเลือกหัวข้อที่เกี่ยวกับการผลิตสื่อ การใช้คอมพิวเตอร์ในการวิจัยเป็นหลัก แม้ว่าจะเป็นหัวข้อที่สนใจก็ตาม ซึ่งจะทำให้เกิดความเบื่อหน่าย ขาดแรงจูงใจในการศึกษาและค้นคว้าเอกสารและดำเนินการวิจัย รวมถึงจะส่งผลถึงผลงานวิจัยที่ไม่มีคุณภาพและขาดความภูมิใจในการเป็นเจ้าของงานวิจัยอย่างแท้จริง
4. เป็นเรื่องที่สอดคล้องกับนโยบายของสถาบัน คณะและภาควิชา ซึ่งจะได้รับการสนับสนุนส่งเสริมให้ทำ มีความสบายใจในการทำหรือมีความใหม่และทันสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตรงกับเจตนารมณ์ของมหาวิทยาลัย โอกาสจะได้รับพิจารณาอนุมัติทุนและอาจจะได้รับทุนสนับสนุนวิจัย มีความเป็นไปได้สูง เช่น คณะหรือภาควิชา เน้นการวิจัยในชั้นเรียน การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมหรือการวิจัยเชิงคุณภาพ นิสิตควรจะศึกษาหรือทำเรื่องเกี่ยวกับนโยบายที่คณะตั้งไว้เพื่อความสอดคล้องและงานวิจัยที่ทำได้รับการยอมกับอาจารย์ที่ปรึกษาเช่นเดียวกัน
5. เรื่องที่ทำต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานทางทฤษฎีหรืองานวิจัยสนับสนุน หัวข้อเรื่องที่
นิสิตเลือกจะต้องมีพื้นฐานมาจากตัวทฤษฎี ฐานทฤษฎีฝังรากในวงจรการพัฒนาความรู้ ซึ่งทฤษฎีทำให้เกิดคำถามผลที่คาดหวังและตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย ถ้าหัวข้อวิจัยของ นักศึกษาไม่มีฐานทฤษฎี ไม่ถูกต้อง จะทำให้ล้มเลิกก็เป็นได้ เช่นกัน รวมทั้งหัวข้อ ควรมีความเป็นไปได้ ทั้งในเชิงการหาข้อมูล และการหาเครื่องมือวิเคราะห์ ซึ่งมีหลาย ๆ หัวข้อที่น่าสนใจ แต่ขาดวิธีการวิจัยที่เหมาะสม บางหัวข้อไม่สามารถหาข้อมูลได้ ทำให้การศึกษาหัวข้อนี้เป็นสิ่งที่ท้าท้ายเกินกำลังสำหรับงานวิทยานิพนธ์
6. เป็นเรื่องที่สามารถนำไปพัฒนาในวิชาชีพของตนได้ วิทยานิพนธ์อาจมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นหรือจุดสุดท้ายของการวิจัยในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง กล่าวคือ ที่ว่าเป็นจุดเริ่มต้นก็เนื่องจากว่าหัวข้อนำไปสู่การค้นคว้าวิจัยในอันดับต่อมา ที่ว่าเป็นจุดสุดท้ายก็มองจากแง่มุมของผู้ทำวิจัยว่าเมื่องานสำเร็จผู้วิจัยก็ถือเป็นผู้รู้ในเรื่องนั้น อาจใช้เป็นบันไดในการก้าวกระโดดในหน้าที่การงานได้เป็นอย่างดี เมื่อสาขาอาชีพนั้นได้ใช้ประโยชน์จากงานวิจัยนั้น ๆ สามารถสร้างความก้าวหน้าให้กับสาขาอาชีพที่ทำงานอยู่
-----------------------------------------------------------------
* เมื่ออ่านแล้วท่านใดมีน้ำใจ ร่วมสร้างบล็อกวามรู้ร่วมกัน (น้อยมากตามศรัทธา) สามารถโอนเงินมาที่ บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกรุงไทย สาขามหาสารคาม ชื่อบัญชี นายทองสง่า ผ่องแผ้ว บัญชีเลขที่ 409-1920-845
* น้ำใจที่ได้จากการท่าน ช่วยต่อลมหายใจทีมงานของบล็อกการวิจัยการศึกษาให้ยืนยาว และมีกำลังใจในการเสนอบทความ ความรู้ให้แก่นักศึกษา ครู และผู้สนใจต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น