การเขียนเค้าโครงวิทยานิพนธ์
ก่อนเขียนเค้าโครงวิทยานิพนธ์มักจะได้ยินคำถามเกี่ยวกับการเขียนเค้าโครงวิทยานิพนธ์ว่า เค้าโครงเขียนอย่างไร มีหลักการเขียนอย่าง มีรูปแบบอย่างไร เขียนเค้าโครงอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จ เขียนอย่างไรจะได้เค้าโครงวิทยานิพนธ์ที่มีคุณภาพสูง มีความผิดพลาดน้อยที่สุด ซึ่งคำถามเหล่านี้จะได้ยินประจำ ดังนั้นในบทนี้จะกล่าวถึงส่วนประกอบการเขียนเค้าโครงวิทยานิพนธ์
ส่วนประกอบของเค้าโครงวิทยานิพนธ์
1. ส่วนประกอบตอนต้น ประกอบด้วย
1.1 ปกนอก
1.2 สารบัญ
1.3 สารบัญตาราง (ถ้ามี)
1.4 สารบัญภาพประกอบ (ถ้ามี)
2. ส่วนเนื้อเรื่อง ประกอบด้วยเนื้อหา 3 บท
ได้แก่
2.1
บทที่ 1 บทนำ
ประกอบด้วยหัวข้อย่อย ดังนี้
1) ภูมิหลังหรือความสำคัญของปัญหา
2) ความมุ่งหมายของการวิจัย
3) ความสำคัญของการวิจัย
4) กรอบแนวคิดของการวิจัย (ถ้ามี)
5) สมมติฐานของการวิจัย(ถ้ามี)
6) ขอบเขตของการวิจัย
7) ข้อตกลงเบื้องต้น(ถ้ามี)
8) นิยามศัพท์เฉพาะ
2.2
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ประกอบด้วย
1)
คำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อเรื่องวิทยานิพนธ์
2) แนวคิด
หลักการ ทฤษฏี ที่เกี่ยวข้องกับหัวเรื่องวิทยานิพนธ์
3)
งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อเรื่องวิทยานิพนธ์
2.3
บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย ประกอบด้วยหัวข้อย่อย ดังนี้
1) ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
2)
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลหรือเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
3) การสร้างและหาคุณภาพเครื่องที่ใช้ในการวิจัย
4) วิธีดำเนินการทดลอง(ถ้ามี)
5) การเก็บรวบรวมข้อมูล
6) การวิเคราะห์ข้อมูล
7) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
3. ส่วนประกอบตอนท้าย
ประกอบด้วย บรรณานุกรม
สำหรับการเข้าเล่มเค้าโครงวิทยาวิทยานิพนธ์
เพื่อนำเสนอคณะกรรมการวิทยานิพนธ์และการเรียงลำดับเนื้อหา นักศึกษา
สามารถดำเนินการเรียงเอกสารที่พิมพ์ตามลำดับหัวข้อของส่วนประกอบเค้าโครงวิทยานิพนธ์ได้เลย
รูปแบบอาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสถาบันหรือมหาวิทยาลัยกำหนด โดยทั่วไปจะประกอบด้วย ตรามหาวิทยาลัยหรือสถาบัน ชื่อเรื่องภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ชื่อผู้วิจัย สาขา ปริญญา ปีการศึกษา รุ่น ประธานกรรมการ กรรมการ ส่วนการจัดวางรูปแบบปกเค้าโครงปกวิทยานิพนธ์นั้นขึ้นอยู่รูปแบบของมหาวิทยาลัยหรือสถาบันกำหนดซึ่งไม่เหมือนกัน ผู้เขียนขอยกตัวอย่างรูปแบบการเขียนปกเค้าโครงวิทยานิพนธ์ ดังตัวอย่าง
เค้าโครงวิทยานิพนธ์
ผู้วิจัย นางอุบล โคตา คณะกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์
ปริญญา ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต รศ. ณรงค์ ป้อมบุปผา
ประธานกรรมการ
สาขาวิชา บรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์
อาจารย์เฉลิมศักดิ์ ชุปวา กรรมการ
รุ่น ปท. 23 มหาสารคาม ปีการศึกษา 2545
_______________________________________________________________________
ชื่อเรื่อง แนวโน้มการดำเนินงานห้องสมุดประชาชนอำเภอในทศวรรษหน้า
ศึกษาโดยเทคนิคเดลฟาย
Trend
of Amphur, s public Libraries operation in the next decade by using
the Delphi
technique
2. สารบัญ
สารบัญตาราง สารบัญภาพประกอบ เค้าโครงวิทยานิพนธ์
เป็นส่วนที่รวบรวมหัวข้อเรื่องและหัวข้อย่อยแต่ละบท
ชื่อของตาราง ชื่อภาพประกอบ จัดเรียงตามลำดับที่ปรากฏในวิทยานิพนธ์ พร้อมทั้งมีเลขหน้าที่เริ่มบทตอน ตารางและภาพประกอบนั้น ๆ กำกับเอาไว้ เพื่อช่วยให้ความสะดวกรวดเร็วในการสืบค้น
ดังตัวอย่าง
สารบัญ
บทที่
หน้า
1 บทนำ .....................................................………………..………………………..…
1
ภูมิหลัง ................................................……………...………………………… 1
ความมุ่งหมายของการวิจัย ..............................………...……………………….. 4
สมมติฐานของการวิจัย ...................................…………...…………………..… 4
ความสำคัญของการวิจัย ..................................………...………………………. 5
ขอบเขตของการวิจัย ....................................…………...…………………….…
5
นิยามศัพท์เฉพาะ ..............................…………………...……………………..
6
2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ....................................……………...…………….. 8
การจัดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์
.................................................................. 8
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ………………………….………………………………… 59
3 วิธีดำเนินการวิจัย
.........................…..............………………….…….…………… 66
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
………………………………….………………… 66
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
…………………………………...…….…………… 66
การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในวิจัย ….…………………………….. 67
การเก็บรวบรวมข้อมูล ………………..………………………………………. 75
การวิเคราะห์ข้อมูล
............................................................................................. 80
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
......................................................................... 85
บรรณานุกรม
.............................................................................................................. 100
สารบัญตาราง
ตาราง
หน้า
1 เนื้อหาและเวลาเรียนวิชาคณิตศาสตร์
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เรื่อง
เส้นขนาน .... 67
2 วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหา
ความคิดรวบยอดและจุดประสงค์
เชิงพฤติกรรมเรื่อง
เส้นขนาน
....................................................................... 74
3 กำหนดจำนวนข้อสอบที่ต้องการให้สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้
และเนื้อหาเรื่อง
เส้นขนาน ชั้นประถมศึกษาปีที่
6
..................................... 67
สารบัญภาพประกอบ
ภาพประกอบ
หน้า
1 แผนภูมิโครงสร้างของคณิตศาสตร์
........................................................................ 1
2 ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค
TGT ….................................................... 29
3 แผนภูมิการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคทีจีที
(TGT) ................................ 33
4 แผนภูมิการจัดกิจกรรมแบบทีจีที
(TGT) ............................................................... 34
5 แผนภูมิการจัดกิจกรรมแบบ TGT ....................................................................... 35
6 ผู้สอนกำหนดผู้เรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ
ละ เท่ากับจำนวนหัวข้อเรื่องที่จะศึกษา
...... 36
โดยทั่วไปแล้วการเขียนสารบัญ สารบัญตารางและสารบัญภาพประกอบ
จะเขียนได้ก็ต่อเมื่อนักศึกษาเขียนส่วนประกอบเนื้อหากล่าว คือ บทที่ 1 ถึงบทที่ 3
เสร็จเรียบร้อยแล้ว เพราะรายละเอียดในสารบัญจะเป็นหัวข้อย่อยในเนื้อหาแต่ละบทนั้นเอง
ซึ่งจะบอกเลขหน้าหัวย่อยที่ปรากฏอยู่ ส่วนรูปแบบการเขียน
เช่น การเคาะ การวรรค
นั้นให้เขียนตามรูปแบบของมหาวิทยาลัยหรือสถาบันของนักศึกษานั้นกำหนด เพื่อสะดวกในการจัดรูปแบบวิทยานิพนธ์ต่อไป
3. การเขียนส่วนเนื้อเรื่อง (ส่วนแรก)
สำหรับส่วนประกอบด้านเนื้อหาถือเป็นส่วนสำคัญที่นักศึกษา
ต้องศึกษาวิธีการเขียนการเรียบเรียงให้ดีและถูกต้อง เพราะส่วนนี้คือหัวใจสำคัญของเค้าโครงวิทยานิพนธ์
ในงานวิจัยเชิงปริมาณส่วนใหญ่แล้วจะประกอบด้วย 3 บทด้วยกัน
ส่วนงานวิจัยเชิงคุณภาพอาจจะมี 3-5 บท ก็ได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่ประเภทของงานวิจัยด้วย
3.1 การเขียนบทที่ 1 บทนำ
ถือว่าเป็นส่วนแรกที่สำคัญ
เปรียบเสมือนประตูบานแรกที่บ่งบอกเหตุผล หลักการว่าวิทยานิพนธ์ที่นักศึกษาทำมีความสำคัญ มีปัญหาอย่าไร ถึงจะทำเรื่องนี้
เป็นการบ่งชี้ความสำคัญ
ชี้ปัญหาที่ชัดเจนในการทำ บทนำประกอบด้วยหัวข้อต่าง
ๆ ดังนี้ ภูมิหลัง
ความมุ่งหมายของการวิจัย หรือความสำคัญของการวิจัย กรอบแนวคิดของการวิจัย* ขอบเขตของการวิจัย
สมมุติฐานของการวิจัย * ข้อตกลงเบื้องต้น* และนิยามศัพท์เฉพาะ* และแต่ละหัวข้อย่อยมีหลักในการเขียนดังนี้
3.1.1 การเขียนภูมิหลัง โดยภูมิหลังจะทำหน้าที่แนะนำให้ผู้อ่านงานวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาให้รู้ความเป็นมา
หลักการ เหตุผล ความสำคัญและปัญหาของวิทยานิพนธ์หรือเป็นการตอบคำถามว่า
ทำไมนักศึกษาจึงทำวิทยานิพนธ์เรื่องนี้ การเขียนภูมิหลังอาจเรียกได้ว่าเป็นงานยากสุดในกระบวนการเรียบเรียงวิทยานิพนธ์
จึงไม่เป็นแปลกที่ นักศึกษาส่วนใหญ่จะกังวลเมื่อเริ่มลงมือเขียนภูมิหลัง
บางคนไม่มีประสบการณ์ในการเขียนงานวิชาการมาก่อน
จึงจับต้นชนปลายไม่ถูกและไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไร บางทีอาจเสียเวลามาก จนถึงเกินความเบื่อหน่ายได้
ดังนั้นภูมิหลังมีหลักในการเขียนดังนี้
1)
ภูมิหลังโดยทั่วไปมีประมาณ 3-5 หน้า
และมีย่อหน้าไม่เกิน 7 ย่อหน้า
เพราะการเขียนภูมิหลังเป็นการเขียนความเรียงแบบต่อเนื่องเรื่องเดียวกัน ยิ่งมีย่อหน้ามากเท่าไรจะเป็นภูมิหลังตัดปะ
กล่าวคือ
การนำบทความของงานเขียนของนักวิชาการมาเขียนต่อกัน ทำให้อ่านแล้วไม่ได้ใจความสำคัญว่ากล่าวถึงเรื่องใด2) ความสอดคล้องกับชื่อเรื่อง การเขียนภูมิหลังต้องมีความสอดคล้องกับชื่อเรื่องที่ทำ ข้อบกพร่องที่พบส่วนใหญ่ นักศึกษามักจะยกเอาเรื่องที่ล้าสมัยมาเขียนและไม่สอดคล้องกับสภาพปัจจุบันมาอ้าง ดังนั้นการเขียนต้องมีความสอดคล้องกับชื่อเรื่องโดยเริ่มตั้งแต่ย่อหน้าแรกถึงย่อหน้าสุดท้าย เช่น ศึกษาเรื่อง แนวทางการพัฒนาการเรียนการสอนทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning) สำหรับสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย เนื้อเรื่องหรือคำกล่าวที่เขียนในภูมิหลังต้องเกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนทางอิเล็กทรอนิกส์(e-Learning) หัวข้อจะนำเขียนภูมิหลังคือ หลักการ ความสำคัญหรือเหตุผลและปัญหาของการเรียนการสอนทางอิเล็กทรอนิกส์(e-Learning) ในสถาบันอุดมศึกษา รวมถึงสภาพปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร ดังนั้นการนำเอาคำกล่าวของคนอื่นมาเขียนควรเป็นปัจจุบันมากที่สุด ไม่กล่าวหรือเรียบเรียงห่างจากชื่อเรื่องมากเกินไป ควรสั้น กะทัดรัด ตรงตามชื่อเรื่องมากที่สุด โดยเมื่ออ่านภูมิหลังจบต้องรู้ทันทีว่ากำลังจะศึกษาเรื่องดังกล่าวมาข้างตน และย่อหน้าสุดท้ายผู้ทำวิทยานิพนธ์จะสรุปว่าจากหลักการและเหตุผลดังกล่าว ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาเรื่องดังกล่าว และกล่าวถึงประโยชน์ที่ได้รับหลังจากการทำวิทยานิพนธ์เสร็จสิ้นแล้วประมาณ 2-3 บรรทัด
3) ชี้ปัญหา ความสำคัญชัดเจนและชี้ถึงแนวโน้มในอนาคต ข้อบกพร่องที่พบในภูมิหลัง พบว่า นักศึกษาเขียนปัญหาไม่ชัดเจนในการวิจัยคืออะไร เหตุใดผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาเรื่องนั้น ดังนั้นการเขียนภูมิหลังต้องชี้ปัญหาและความสำคัญชัดเจน เช่น ศึกษาเรื่อง การเปรียบเทียบผลการเรียนรู้จากบทเรียนบนระบบเครือข่ายรายวิชาการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ของนิสิตระดับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคามที่มีรูปแบบการเรียน(Learning Style) ต่างกัน การเขียนภูมิหลังต้องกล่าวถึงความสำคัญหรือปัญหาในปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร มีความสำคัญอย่างไรถึงศึกษาเรื่องนี้มีจุดเด่นหรือดีกว่าการเรียนแบบปกติอย่างไร แบบเรียนแบบต่าง ๆ ส่งเสริมการเรียนรู้อย่างไร ซึ่งปัญหาและความสำคัญมาจาก การเปลี่ยนแปลงทางสังคม ทฤษฏีและบทความวิชาการ ความเคลื่อนไหวทางการวิจัยที่ตนศึกษา แต่อย่างไรก็ตามการยกข้อความหรือคำกล่าวของคนอื่น มาเขียนควรมีการวิเคราะห์หรือเลือกให้เหมาะสมกับชื่อเรื่องของเรา เพราะบางครั้งคำกล่าวที่ยกมาอาจจะตรงกับปัญหาหรือความสำคัญเฉพาะบางส่วนเท่านั้น ส่วนที่เหลือไม่เกี่ยวข้องเลย และอีกประการหนึ่งการเขียนภูมิหลัง ไม่ควรนำเอาความคิดเห็นส่วนตัวที่พบหรือเหตุการณ์ที่จะมีผลต่อการทำวิจัย
4) ใช้กรอบแนวคิดของผู้วิจัย สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง ภูมิหลังที่เขียนต้องอยู่ในกรอบของการวิจัย เฉพาะจงเจาะเรื่องที่ศึกษาหรือวิจัยอย่างชัดเจน เพราะกรอบแนวคิดในการวิจัยจะประกอบด้วยตัวแปรและความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร ซึ่งนักศึกษาจะได้แนวทางในการเขียนภูมิหลังที่ง่ายขึ้นและทิศทาง มีความสัมพันธ์ของเรื่องที่เขียนสอดคล้องกันตามลำดับ และมีความเป็นเหตุเป็นผลในการเขียนภูมิหลังด้วย
5) ใช้ภาษา ถูกต้อง ต่อเนื่อง ประการสุดท้ายที่มีสำคัญเช่นเดียวกัน เนื่องจากวิทยานิพนธ์เป็นผลงานวิชาการ การเขียนต้องใช้ภาษาเขียนที่มีถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ไม่ควรใช้ภาษาพูดในการเขียนภูมิหลังวิทยานิพนธ์ ส่วนใหญ่แล้วมักจะพบการใช้ภาษาที่ผิด เช่น ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป ประโยคที่เขียนถูกต้อง คือ ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อไป ดังนั้นการใช้ภาษาที่ถูกต้องจึงมีความสำคัญและภูมิหลังนั้นการเขียนควรมีความต่อเนื่องทั้งการเชื่อมคำไม่ควรใช้คำว่าและ หรือ ก็ ซึ่ง ในการเชื่อมประโยคมากเกินไปและที่สำคัญระหว่างย่อหน้าและย่อหน้าถัดไปต้องมีความต่อเนื่องเป็นเรื่องเดียวกัน กล่าวถึงเรื่องที่ศึกษาอย่างชัดเจนตั้งแต่ย่อหน้าแรกถึงย่อหน้าสุดท้าย
ที่มาของเนื้อหาภูมิหลัง ปัญหาที่นักศึกษาคิดไม่ออกประการหนึ่ง แล้วจะเอาเนื้อหา สาระ อะไรนำมาเขียนในภูมิหลัง เพื่อให้ภูมิหลังมีความชัดเจน ตรงประเด็นที่ศึกษามากที่สุด แหล่งของเนื้อหาที่จะมาสนับสนุนการเขียนภูมิหลัง ได้แก่
1. สภาพปัญหา อดีต ปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต นักศึกษาพยายามหาข้อมูล หลักฐานมาเสนอให้ผู้อ่านเห็นว่า หัวข้อเรื่องวิทยานิพนธ์ที่จะศึกษา วิจัย ในปัจจุบันเป็นปัญหา อุปสรรค อย่างไร ต้องหาทางแก้ไขหรือขจัดปัญหาดังกล่าว
2. แนวคิด ทฤษฏีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง นักศึกษาต้องพยายามหาแนวคิด ทฤษฏีที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อเรื่องวิทยานิพนธ์ ว่าเป็นอย่างไร คิดเลือก สังเคราะห์แนวคิด ทฤษฏีที่น่าเชื่อถือ เป็นปัจจุบัน และสอดคล้องกับหัวข้อเรื่องมาเสนอ
3. ผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นักศึกษาจะต้องเสนอผลงานวิจัยคนอื่นที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อเรื่องวิทยานิพนธ์ที่ศึกษา วิจัย สรุป ชี้ประเด็นให้เห็นว่า ที่ผ่านมีใครวิจัยไว้บ้างแล้ว ทำในลักษณะใด ศึกษากับใครและได้ผลอย่างไร
จากข้อมูลทั้งหมด นักศึกษาสรุปต่อท้าย สัก 2-3 บรรทัด ชี้ให้เห็นว่า หัวข้อเรื่องวิทยานิพนธ์ที่ทำยังไม่มีคำตอบและสามารถจะหาคำตอบได้ และคำตอบที่ได้จะเป็นประโยชน์อย่างไร
ข้อบกพร่องที่พบในภูมิหลัง
1.
การอธิบายหลักการสำคัญที่ไกลจากปัญหาวิจัยมาก
และมีการเอกสาร
แหล่งค้นที่ไม่ค่อยสำคัญมากนัก
2.
มักยกคำกล่าวอ้างของนักการศึกษาดัง ๆ
ของประเทศที่ปรากฏตาม
หนังสือพิมพ์หรือเอกสารต่าง
ๆ ข้อความเหล่านี้จริง ๆ แล้ว เป็นเพียงความรู้สึกของผู้พูด ซึ่งไม่มีความหนักแน่น
3. ไม่สามารถหาเหตุผลอธิบายได้ว่าทำไมจึงต้องการศึกษาในประเด็นวิจัยนั้น
ๆ ส่วนใหญ่จะระบุว่า ผู้วิจัยสนใจจะศึกษา ……. และลงท้ายด้วยประโยคที่ชี้ให้เห็นความสำคัญของการศึกษาประเด็นนี้อีกประมาณ 1 – 2 ประโยค
การเขียนภูมิหลังไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัว
ที่สำคัญภูมิหลังต้องมีความชัดเจน
สั้นกะทัดรัดได้ใจความสำคัญ
ชี้ถึงปัญหาและความสำคัญอย่างชัดเจน อยู่ในกรอบแนวคิดของการวิจัย
ใช้ภาษาถูกต้อง ต่อเนื่อง และที่สำคัญสอดคล้องกับชื่อเรื่องที่ นักศึกษาทำ ซึ่งการเขียนภูมิหลังให้ดี
ต้องเกิดจาการการศึกษาค้นคว้า
การอ่าน การศึกษาที่เป็นปัจจุบันและเข้าใจปัญหาเรื่องที่ศึกษาอย่างอย่างชัดแจ้ง
3.1.2 การเขียนวัตถุประสงค์หรือความมุ่งหมายของการวิจัย
ในเค้าโครงวิทยานิพนธ์นักศึกษามักจะเขียนจุดมุ่งหมายไม่ครอบคลุมและไม่ชัดเจน
รวมถึงตั้งจุดมุ่งหมายของการวิจัยไม่ได้ ทั้งนี้เนื่องจากขาดความแตกฉานในเรื่องที่ศึกษา
ไม่เข้าใจกรอบแนวคิดในการวิจัยอย่างชัดแจ้ง ดังนั้นการเขียนจุดมุ่งหมายของวิจัยมีหลักในการเขียนดังนี้
1) การตั้งจุดมุ่งหมายของการวิจัย
จะตั้งเป็นข้อหรือไม่เป็นข้อก็ได้
ทั้งขึ้นอยู่กับสิ่งที่ต้องการศึกษาหรือประเภทของงานวิจัย ถ้าเป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ
จะตั้งเป็นข้อ ๆ
และงานวิจัยเชิงคุณภาพส่วนใหญ่จะไม่แยกข้อ
2) จุดมุ่งหมายของการวิจัย มาจากชื่อเรื่องและตัวแปรของการวิจัย เอามาตั้งเป็นจุดมุ่งหมายของการวิจัย
ตัวอย่างเช่น
2.1) ศึกษาเรื่อง แนวโน้มการดำเนินงานห้องสมุดประชาชนอำเภอในทศวรรษหน้าโดยใช้เทคนิคเดลฟาย(อุบล
โคตา :
2545) ความมุ่งหมายของการวิจัย คือ
เพื่อศึกษาแนวโน้มการดำเนินงานห้องสมุดประชาชนอำเภอในทศวรรษหน้าโดยใช้เทคนิคเดลฟาย2.2) ศึกษาเรื่อง เจตคติและความเครียดของข้าราชการครูที่มีต่อการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุดรธานี (พนารัตน์ ขุราษี : 2547)ความมุ่งหมายของการวิจัย คือ
- เพื่อศึกษาเจตคติของข้าราชการครูที่มีต่อการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน (มาจากชื่อเรื่อง)
- เพื่อศึกษาระดับความเครียดของข้าราชการครูที่มีต่อการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน(มาจากชื่อเรื่อง)
- เพื่อเปรียบเทียบเจตคติของข้าราชการครูต่อการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีประสบการณ์ในการสอน ประสบการณ์ในการอบรมการจัดทำหลักสูตร ขนาดของโรงเรียนและระดับช่วงชั้นที่จัดทำหลักสูตรสถานศึกษา (ตัวแปร)
2.3) การตั้งจุดมุ่งหมายของการวิจัย ส่วนใหญ่จะขึ้นต้นด้วยคำว่า เพื่อ
เพื่อศึกษา เพื่อหา เพื่อเปรียบเทียบ เป็นต้น แล้วตามด้วยชื่อเรื่องวิจัยและตัวแปรการวิจัย ตัวอย่างเช่น เพื่อศึกษาเจตคติของข้าราชการครูที่มีต่อการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน(ชื่อเรื่อง)
2.4 ) การตั้งจุดมุ่งหมายของการวิจัย ต้องมีความชัดเจนเข้าใจง่าย ไม่
ซ้ำซ้อนและครอบคลุมประเด็นที่ศึกษา หากนักศึกษาเข้าใจหรือวิเคราะห์หัวเรื่องได้ดี จะสามารถแยกแยะว่าต้องการจะศึกษาเรื่องอะไรบ้างหรือมีเรื่องอะไรบ้างที่ต้องศึกษาและยังอาจแบ่งเป็นประเด็นย่อย ทำให้มีความละเอียดเพิ่มขึ้น การตั้งจุดมุ่งหมายก็จะมีความชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งกระบวนการแยกแยะและตั้งจุดมุ่งหมายจะช่วยทำให้นักศึกษาเข้าใจและทราบต่อไปว่า ตนเองจะเก็บรวบรวมข้อมูลอะไรบ้างและข้อมูลที่จัดเก็บใช้เครื่องมืออะไร จะต้องมีความละเอียดมากน้อยเพียงใด จะได้เห็นว่าการตั้งจุดมุ่งหมายของการวิจัยเปรียบเสมือนเครื่องชี้ทาง ซึ่งช่วยนักศึกษาให้เก็บข้อมูลได้ถูกต้องตามจุดมุ่งหมายของการวิจัย ตัวอย่างเช่น
- เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยบทเรียนบนเครือข่าย เรื่อง ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารและสืบค้น แสดงว่า นักศึกษาต้องเก็บข้อมูล 2 ครั้ง คือก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยบทเรียนบนเครือข่าย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
2.5) การตั้งจุดมุ่งหมายของการวิจัยต้องเป็นประโยคบอกเล่า
2.6) จุดมุ่งหมายที่ตั้งขึ้น สามารถตั้งสมมติฐานตรวจสอบหรือทดสอบได้กล่าวคือ ในงานวิจัยเชิงปริมาณส่วนใหญ่จะมีสมมติฐาน เมื่อนักศึกษาตั้งจุดมุ่งหมายของการวิจัยขึ้นแล้วต้องทดสอบได้ ตัวอย่างเช่น
ความมุ่งหมายของการวิจัย เพื่อเปรียบเทียบเจตคติของข้าราชการครูต่อการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีประสบการณ์ในการสอน ประสบการณ์ในการอบรมการจัดทำหลักสูตร ขนาดของโรงเรียนและระดับช่วงชั้นที่จัดทำหลักสูตรสถานศึกษา
สมมติฐานของการวิจัย ข้าราชการที่มีประสบการณ์ในการสอน ประสบการณ์ในการอบรมการจัดทำหลักสูตร ขนาดของโรงเรียนและระดับช่วงชั้นที่จัดทำหลักสูตรต่างกันมีเจตคติต่อการทำหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐานแตกต่างกัน
การทดสอบในที่นี้คือการทดสอบด้วยวิธีการทางสถิติ เช่น
- ประสบการณ์ในการสอน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ ประสบการณ์น้อยกว่า 5 ปีและประสบการณ์มากกว่า 5 ปีขึ้นไป สถิติที่ใช้ในการทดสอบคือ t-test (Independent sample t-test)
- ขนาดโรงเรียน แบ่งออกเป็น 3 ขนาด คือ ขนาดเล็ก ขนาดกลางและขนาดใหญ่ สถิติที่ใช้ในการทดสอบ คือ One- way ANOVA (analysis of variance)
2.7) มีความสัมพันธ์ระหว่างประเด็นหรือหัวข้อจุดมุ่งหมายของการวิจัย นอกจากจุดมุ่งหมายที่ตั้งขึ้นจะมีความชัดเจนเข้าใจง่าย ไม่ซ้ำซ้อนแล้ว นักศึกษาต้องจัดอันดับให้เห็นความสัมพันธ์กันหรือให้เห็นความลดหลั่นถึงความสำคัญของจุดมุ่งหมายของการวิจัย
3.1.3 การเขียนความสำคัญของการวิจัย
ความสำคัญของการวิจัยเป็นการบ่งชี้ว่าหลังจากทำวิทยานิพนธ์เสร็จแล้ว จะได้อะไรบ้างในแง่ของประโยชน์ที่คาดจะได้รับ ความรู้ที่ได้จากการทำวิทยานิพนธ์และ สามารถนำผลการวิจัยไปประยุกต์ได้ในด้านใดบ้าง ซึ่งความสำคัญของการวิจัยมีหลักการเขียนดังนี้
1) ไม่ขึ้นต้นด้วยคำว่า เพื่อ ความสำคัญของการวิจัยเป็นผลที่คาดจะได้รับ ดังนั้นการเขียนควรระบุลงไปเลยว่างานวิทยานิพนธ์เรื่องนี้ หลังจากเสร็จแล้วจะได้อะไรบ้าง มีประโยชน์ในแง่ใด นำผลไปพัฒนาได้อย่างไร
2) อยู่ในขอบเขตของการวิจัย นักศึกษาต้องเขียนความสำคัญของการวิจัยให้อยู่ขอบเขตของการวิจัย ไม่ควรอ้างความสำคัญของการวิจัยเกินขอบเขตของการวิจัยในเรื่องที่ศึกษา เช่น ผลจากการวิจัยหน่วยงานหรือองค์กรจะนำผลการวิจัยไปใช้ในการพัฒนาหน่วยงาน แต่หลังจากอ่านผลการวิจัยทั้งหมดแล้ว ไม่มีส่วนใดหรือผลการวิจัยที่หน่วยงานนำไปใช้พัฒนาหน่วยงานได้เลย ดังนั้นการเขียนความสำคัญต้องระบุความสำคัญที่เป็นไปได้ในการนำไปใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง
3) เขียนความสำคัญให้ชัดเจน ชัดเจนในด้านประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ด้านความรู้ ด้านการประยุกต์ใช้ และที่สำคัญเขียนให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการวิจัย ความสอดคล้องถือว่ามีความสำคัญ ความสำคัญของการวิจัยกับจุดมุ่งหมายของการวิจัยมีความสัมพันธ์กัน ดังนั้นความชัดเจน คือสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้และในแง่ผลการวิจัยที่จะนำไปใช้ได้จริง ตัวอย่างเช่น ศึกษาเรื่อง แนวโน้มการดำเนินงานห้องสมุดประชาชนอำเภอในทศวรรษหน้าโดยใช้เทคนิคเดลฟาย ความสำคัญของการวิจัย คือ ผลการวิจัยจะเป็นข้อสนเทศสำหรับกรมการศึกษานอกโรงเรียนและผู้ที่เกี่ยวข้อง นำไปใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจ วางแผน ปรับปรุงการดำเนินห้องสมุดประชาชนอำเภอ ทั้งในปัจจุบันและอนาคตให้เกิดประโยชน์ต่อการศึกษาของประชาชนยิ่งขึ้น
3.1.4 กรอบแนวคิดในการวิจัย (ถ้ามี)
กรอบแนวคิดในการวิจัย (Conceptual framework)ถือว่ามีความสำคัญเช่นเดียวกัน ในงานวิทยานิพนธ์อาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชื่อเรื่องที่ศึกษาและประเภทของงานวิจัย ซึ่งกรอบแนวคิดในการวิจัย หมายถึง กรอบของการวิจัยในด้านเนื้อหาสาระ ซึ่งประกอบด้วยตัวแปรและการระบุความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร(สุชาติ ประสิทธิ์รัฐสินธุ์, 2544 : 72) และตัวแปรแต่ละตัวที่เลือกมาศึกษาจะต้องมีพื้นฐานทางทฤษฏีความมีเหตุมีผลว่ามีความสัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ต้องการศึกษา มิใช่แต่เป็นการสุ่มเลือกตามใจของผู้วิจัยเอง การที่ตัวแปรมีทฤษฏีอ้างอิงจะช่วยเพิ่มพูนความรู้ที่มีอยู่แล้วให้ถูกต้องและสมบูรณ์มากขึ้น เพราะจะได้ทดสอบทฤษฏีที่ได้ระบุตัวแปรนั้น ๆว่าถูกต้องหรือไม่ นอกจากนี้ยังช่วยตีความหมายผลการวิจัยที่ได้ การวิจัยมิใช่มุ่งแต่การตัวเลขมายืนยันเท่านั้น ดังนั้นกรอบแนวคิดต้องระบุว่ามีตัวแปรอะไรบ้างและตัวแปรเหล่านี้มีความสัมพันธ์กันอย่างไร เป็นการช่วยให้นักศึกษาและผู้อื่นได้ทราบว่ามีแนวคิดอย่างไรเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการศึกษาและคิดว่าอะไรสัมพันธ์กับอะไรในรูปแบบใด ทิศทางใด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในขั้นการเก็บรวบรวมข้อมูล การออกแบบการวิจัยและการวิเคราะห์ข้อมูล ของการวิจัยด้วย
ที่มาของกรอบแนวคิดในการวิจัย ปัญหาอย่างหนึ่งที่นักศึกษา คิดไม่ตกคือการได้มาของกรอบแนวคิดการวิจัยได้มาอย่างไร กรอบแนวคิดมีที่มาอยู่ 2 แหล่ง คือ
1) ผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง กล่าวคือ งานวิจัยที่คนอื่นทำมาแล้วที่มีประเด็นตรงกับที่ศึกษา หรือมีเนื้อหาสาระใกล้เคียงกัน มีตัวแปรบางตัวที่ต้องการศึกษารวมอยู่ด้วย
2) ทฤษฏีที่เกี่ยวข้อง นักศึกษาควรอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาทฤษฏีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อเรื่องที่ศึกษา เพื่อทราบความรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร การศึกษาทฤษฏีที่เกี่ยวข้องนอกจากจะชี้ให้เห็นว่าตัวแปรใดสำคัญและมีความสัมพันธ์กันอย่างไรแล้ว ยังได้กรอบแนวคิดในการวิจัยที่ชัดเจนและมีเหตุมีผล
3.1.5 ขอบเขตของการวิจัย
ขอบเขตของการวิจัย เป็นการเขียนอธิบายลักษณะหรือกรอบที่นักศึกษากำหนดว่าหัวข้อเรื่องนั้นจะศึกษากับใคร ที่ไหน อย่างไร จำนวนเท่าไหร่ มีตัวแปรอะไรบ้าง และมีเนื้อหา(ถ้ามี)หรือใช้เวลาในการวิจัยเท่าใด นักศึกษาต้องเขียนขอบเขตของการวิจัยให้ชัดเจนและครอบคลุมหัวข้อเรื่องด้วย โดยทั่วไปแล้วขอบเขตของการวิจัยจะมีส่วนประกอบย่อยดังนี้
1) ประชากร เป็นการเขียนอธิบายคุณสมบัติของประชากรที่ใช้ในการวิจัยว่าคือใคร ที่ไหน ปีไหน จำนวนเท่าใด ตัวอย่างเช่น ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ ข้าราชการครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุดรธานี ปีการศึกษา 2549 จำนวน 13,104 คน
2) กลุ่มตัวอย่าง คือ ส่วนหนึ่งของประชากร เป็นการเขียนอธิบายลักษณะกลุ่มตัวอย่างว่า กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือใคร ที่ไหน ปีไหน จำนวนเท่าใด แต่ไม่ต้องเขียนอธิบายวิธีเลือกกลุ่มตัวอย่าง ตัวอย่างเช่น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ ข้าราชการครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุดรธานี ปีการศึกษา 2549 จำนวน 500 คน
3) เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย(ถ้ามี) ส่วนมากพบในการวิจัยเชิงทดลอง เป็นเขียนอธิบายหรือกำหนดขอบเขตของเนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยว่า เนื้อหาวิชาอะไร เรื่องอะไร มีจำนวนกี่หน่วยหรือบท บางทีอาจจะบอกจำนวนคาบที่ใช้ในการสอน ตัวอย่างเช่น เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ รายวิชา 1601 505 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต แบ่งเป็น 2 หน่วยการเรียน คือ
หน่วยการเรียนที่ 1 เทคโนโลยีสารสนเทศ
หน่วยการเรียนที่ 2 ICT
4) ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย (ถ้ามี) เป็นการเขียนอธิบายลักษณะของตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยว่าประกอบด้วยตัวแปรอะไรบ้าง โดยปกติแล้ว จะแบ่งออกเป็น 2 ตัวแปร คือ ตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม ซึ่งการวิจัยจะมีคุณค่ามากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยด้วย ตัวอย่างเช่น
ตัวแปรอิสระ ได้แก่
1. เพศ จำแนกเป็น เพศชาย เพศหญิง
2. อายุ จำแนกเป็น
2.1 อายุต่ำกว่า 20 ปี
2.2 อายุระหว่าง 21-25 ปี
2.3 อายุ 26 ปีขึ้นไป
ตัวแปรตาม ได้แก่ เจตคติต่อวิทยาศาสตร์
5) ระยะที่ใช้ในการวิจัยหรือการทดลอง(ถ้ามี) เป็นการเขียนอธิบายบอกขอบเขตของการวิจัยตั้งแต่เริ่มจนจบกระบวนการวิจัยหรือ บ่งบอกระยะเวลาที่ใช้ในการทดลองว่า เริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ ปีไหน สิ้นสุดเมื่อใด รวมจำนวนเท่าใด ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย คือ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2549 เริ่มตั้งแต่เดือน มิถุนายน ถึงเดือน สิงหาคม พ.ศ. 2549 จำนวน 3 เดือน
ตัวอย่างการเขียน
ขอบเขตของการวิจัย
3. เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ (ถ้ามี)คือ รายวิชา 1601 505 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต แบ่งเป็น 2 หน่วยการเรียน คือ
หน่วยการเรียนที่ 1 เทคโนโลยีสารสนเทศ
หน่วยการเรียนที่ 2 ICT
4) ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ แบ่งออกเป็น (ถ้ามี)
4.1 ตัวแปรอิสระ ได้แก่
4.1.1 เพศ จำแนกเป็น เพศชาย เพศหญิง
4.1.2 อายุ จำแนกเป็น
1) อายุต่ำกว่า 20 ปี
2) อายุระหว่าง 21-25 ปี
3) อายุ 26 ปีขึ้นไป
4.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ เจตคติต่อวิทยาศาสตร์
5) ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย (ถ้ามี) คือ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2549 เริ่มตั้งแต่เดือน มิถุนายน ถึงเดือน สิงหาคม พ.ศ. 2549 จำนวน 3 เดือน
3.1.6 สมมุติฐานของการวิจัย
สมมติฐาน
เป็นการกล่าวถึงข้อสันนิฐาน ซึ่งเป็นข้อความที่คาดคะเนผลการวิจัยนั้นว่าจะค้นพบอย่างไร การเขียนต้องอยู่บนพื้นฐานทฤษฏีและข้อเท็จจริง ตัวอย่างเช่น ความพอใจในการทำงานมีผลต่อประสิทธิภาพของงานเพิ่มขึ้น
จะเห็นได้ว่าข้อความมีความเชื่อมโยงระหว่างตัวแปร 2 ตัว ตัวแปรแรก คือ
ความพอใจในการทำงาน
ตัวแปรที่สอง
ประสิทธิภาพของงาน ดังนั้นการเขียนสมมติฐานที่ดีและถูกต้องไม่ใช่เรื่องที่ง่าย
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ทั้งนี้เพราะการเขียนสมมติฐานที่ดีนั้นมีหลักเกณฑ์การเขียน ดังนี้
1) สมมติฐานที่สร้างขึ้นต้องสอดคล้องกับความมุ่งหมายของการวิจัย
2) ควรเขียนข้อความที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตาม และกำหนดทิศทางของความสัมพันธ์ให้ชัดเจน
3) ไม่ควรเขียนในรูปสมมติฐานเป็นกลางเหมือนสมมติฐานทางสถิติ เว้นแต่การวิจัยนั้นยังขาดข้อเท็จจริงหรือขัดแย้ง ขาดข้อมูล หรือผลการวิจัยสนับสนุน
4) สามารถทดสอบได้ เช่น ด้วยวิธีการทางสถิติ ข้อมูลหรือหลักฐานต่าง ๆ
5) เขียนจากหลักการ เหตุผล ผลงานวิจัยที่เคยทำมาแล้วที่นักศึกษาได้ศึกษาจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น วิทยานิพนธ์ บทความ วารสาร อินเทอร์เน็ต
6) ใช้ภาษาที่ชัดเจน เข้าใจง่ายและรัดกุม
จะเห็นได้ว่าการเขียนสมมติฐานที่ดีจะต้องระบุความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม มีการกำหนดให้เห็นทิศทางของความสัมพันธ์ว่าเป็นไปในทางใด เช่น มากกว่า น้อยกว่า แตกต่างหรือไม่แตกต่าง
ตัวอย่างการเขียนสมมติฐาน
ความมุ่งหมายของการวิจัยว่า เพื่อเปรียบเทียบเจตคติของข้าราชการครูต่อการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีประสบการณ์ในการสอน
ประสบการณ์ในการอบรมการจัดทำหลักสูตร
ขนาดของโรงเรียนและระดับช่วงชั้นที่จัดทำหลักสูตรสถานศึกษา
สมมติฐานของการวิจัย คือ ข้าราชการที่มีประสบการณ์ในการสอน
ประสบการณ์ในการอบรมการจัดทำหลักสูตร
ขนาดของโรงเรียนและระดับช่วงชั้นที่จัดทำหลักสูตรต่างกันมีเจตคติต่อการทำหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐานแตกต่างกัน
3.1.7 ข้อตกลงเบื้องต้น(ถ้ามี)
ข้อตกลงเบื้อต้น หมายถึง ข้อความที่บ่งบอกถึงสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งนักศึกษา
ที่เป็นผู้วิจัยจะเป็นผู้รู้ดีที่สุดว่าจะเขียนข้อตกลงเบื้องต้นอย่างไรบ้าง
การเขียนสามารถเขียนเป็นข้อหรือความเรียงได้ตามเหมาะสมของงานวิจัยประเภทนั้น
เช่น นิสิตตอบแบบสอบถามด้วยความเต็มใจ 3.1.8 นิยามศัพท์เฉพาะ
นิยามศัพท์เฉพาะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวิจัย ทั้งนี้เพราะในการศึกษาหรือวิจัย ผู้ที่ทำวิจัยไม่สามารถที่จะอธิบายข้อเท็จจริงทุกอย่างได้ทั้งหมด การให้คำอธิบายที่จำเป็นในเรื่องที่ผู้วิจัยกำลังศึกษาอยู่ จึงเป็นสิ่งจำเป็น อาจจะเป็นนิยามตัวแปร ศัพท์ที่จำเป็น ซึ่งคำที่จะนำมานิยามเป็นนิยามศัพท์เฉพาะก็มาจากชื่อเรื่อง นั่นเอง ในการเขียนนิยามศัพท์เฉพาะมีหลักเกณฑ์ในการเขียน ดังนี้
1) ให้เลือกนิยามศัพท์เฉพาะที่จำเป็นที่มาจากชื่อเรื่องหรือตัวแปรที่เกี่ยวข้อง เน้นให้ผู้อ่านเข้าใจตรงกับผู้วิจัยศึกษา เช่น ศึกษาเรื่อง แนวทางการพัฒนาการเรียนการสอนทางอิเล็กทรอนิกส์(e-Learning) สำหรับสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย นิยามศัพท์เฉพาะที่ต้องนิยามคือ 1) e-Learning หมายถึง 2) การเรียนการสอนอิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning) หมายถึง 3) สถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย หมายถึง เป็นต้น
2) การเขียนนิยามศัพท์เฉพาะ นักศึกษา สามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม มี 2 ลักษณะ คือ
2.1) นิยามแบบทั่วไป คือ การยกนิยามที่ระบุไว้ในพจนานุกรม สารนุกรม ตำรา วารสาร ฯลฯ
2.2) นิยามปฏิบัติการ คือ การนิยามที่นอกเหนือจากให้ความหมายของคำนั้นแล้ว โดยนักศึกษาหรือผู้วิจัย เป็นผู้ให้นิยามเอง เน้นเฉพาะเจาะจงสำหรับวิทยานิพนธ์เรื่องนี้ที่ศึกษาเท่านั้น
3) กรณีที่นักศึกษา ยกนิยามของคนอื่นมาจะต้องเขียนอ้างอิงกำกับไว้ด้วย
4) นิยามศัพท์ที่นำมานิยาม ต้องเขียนศัพท์ภาษาอังกฤษกำกับไว้ด้วย
3.2 การเขียนบทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การเขียน การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญ ที่นักศึกษา
จำเป็นต้องศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนั้นในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยการค้นคว้า
การอ่าน จากตำรา เอกสาร บทความ
วารสาร อินเทอร์เน็ต เป็นต้นซึ่งจะช่วยให้ข้าใจประเด็น
กรอบแนวคิดของการวิจัยชัดเจนมากขึ้น แต่ส่วนมากแล้วมักจะถูกมองข้ามไป
โดยเฉพาะนักศึกษาที่ทำวิจัยใหม่ ๆ
มุ่งเพียงแต่จะทำวิทยานิพนธ์ให้เสร็จสิ้นรวดเร็วตามเวลาที่กำหนดเท่านั้น
เป็นการเขียนเนื้อหาเพื่อให้มีเนื้อหาสาระมาก ขาดการสรุปในแต่ละเรื่อง ขาดการเชื่อมโยงสู่เรื่องที่วิจัยและที่สำคัญ นักศึกษามักนิยมลอกต่อจากกันมาจากรายงานการวิจัยหรือวิทยานิพนธ์ของผู้อื่น
ปัญหาตามคือทำให้นักศึกษาไม่เข้าใจปัญหาที่ทำการวิจัยอย่างแท้จริง เพราะพื้นฐานความรู้ การตั้งความมุ่งหมายของการวิจัย สมมติฐานของการวิจัย กรอบแนวคิดของการวิจัย ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยและนิยามศัพท์เฉพาะ
มาจากการศึกษาค้นคว้าเอกและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องแทบทั้งสิ้น
ส่งผลกระทบต่อการสอบเค้าโครงวิทยานิพนธ์และสอบปากเปล่าวิทยานิพนธ์ ทำให้การสอบไม่ผ่านได้ ทำให้เสียเวลาในการทำวิทยานิพนธ์ใหม่
จะเห็นได้ว่าการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องนั้นมีความสำคัญมากต่อการทำวิทยานิพนธ์
เพราะเป็นขั้นตอนการวิจัยที่จะบอกให้นักศึกษาทราบว่า
มีความรอบรู้ในปัญหาที่ตนทำการวิจัยมากน้อยเพียงใด ได้มีผู้ทำวิจัยในเรื่องนี้ในอดีตถึงปัจจุบันมากเท่าใด
ได้มีการใช้แนวคิดอะไรบ้าง ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยอย่างไร และได้ข้อค้นพบอะไร
ได้ข้อเสนอแนะอะไรบ้างทั้งในด้านเนื้อหาและผลการวิจัย
และการเสนอผลการวิจัยถูกต้องหรือบ่งชี้อะไรบ้าง
3.2.1 ความหมาย
การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง หมายถึง
การศึกษา ค้นคว้า
รวบรวมวิเคราะห์และสังเคราะห์งานทางวิชาการ จากตำรา เอกสาร
บทความทางวิชาการ
อินเทอร์เน็ตและผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อเรื่องที่ศึกษา เพื่อประเมิน สรุป ข้อเสนอแนะการวิจัยก่อนจะลงมือทำวิทยานิพนธ์ของตนเอง
3.2.2 สิ่งที่พึงกระทำในการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ส่วนมากในงานวิทยานิพนธ์
มักจะพบปัญหาหรือมีข้อบกพร่องเรื่องบรรณานุกรมไม่ครบ เนื่องจากนักศึกษาขาดความรอบคอบในการจดบันทึก
เมื่อมีการนำเอกสารหรือบทความมาใช้ในวิทยานิพนธ์ กล่าวคือ ไม่มีจดบันทึกเจ้าของเอกสารหรือเนื้อหานั้นหรือมีอ้างอิงในเนื้อหาและในบรรณานุกรมรวมไม่มี เพื่อตัดปัญหาดังกล่าว เมื่อมีการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นักศึกษาควรทำการจดบันทึกเนื้อหาสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อเรื่อง
สถิติ/ข้อมูลต่าง ๆ ที่จะนำมาอ้างอิง
เพื่อความสะดวกในการอ้างอิงและนำมาใช้เรียบเรียง นอกจากนี้นักศึกษาควรทำการจดบันทึกเจ้าของบทความ เนื้อหาที่นำมาด้วย โดยระบุชื่อผู้เขียน
ชื่อตำรา ชื่อบทความในวารสารหรือชื่อวารสาร
ชื่อสถานที่พิมพ์ สำนักงานพิมพ์ ปีที่พิมพ์และถ้าเป็นวารสารต้องระบุเลขหน้า ทั้งนี้เพื่อความสะดวกแก่การอ้างอิงได้อย่างชัดเจนและการค้นคว้าในครั้งต่อไป
รวมทั้งการทำบรรณานุกรม
3.2.3 แหล่งที่มาของเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
แหล่งที่มาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สามารถจำแนกได้ดังนี้
1.
บทความทางวิชาการของสาขาวิชาที่ตนศึกษาและสาขาที่เกี่ยวข้อง ทั้งที่เป็น
ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ข้อดี
คือความเป็นปัจจุบันของเนื้อหาและงานวิจัย
ว่ามีความเคลื่อนไหวและมีแนวทางไปในทางทิศใดบ้าง2. รายงานการวิจัยและวิทยานิพนธ์ ส่วนใหญ่รายงานวิจัยเหล่านี้มักจะทำโดย อาจารย์ นักวิจัย ภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย หรือสถาบันต่าง ๆ หรือ กองวิชาการตามหน่วยราชการ บางแห่งได้ทำการรวบรวมเป็นบทคัดย่อเพื่อความสะดวกแก่การค้นคว้า ส่วนวิทยานิพนธ์ทำโดยนักศึกษาที่ศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ประโยชน์ของการศึกษาวิทยานิพนธ์ คือ มีการศึกษาอะไรบ้างแล้วในอดีต มีมากน้อยเพียงใด ทราบความยุ่งยากและสลับซับซ้อนของงานวิจัยเรื่องนั้น ทราบถึงวิธีการศึกษาว่าเป็นอย่างไร การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล ได้ค้นพบอะไรบ้าง มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับหัวเรื่องที่ศึกษา เอกสารและงานวิจัยที่ใช้อ้างอิงมีอะไรบ้าง อย่างไรก็ตามสิ่งที่ควรระวังในการศึกษาวิทยานิพนธ์ คือ คุณภาพของวิทยานิพนธ์ เนื่องจากวิทยานิพนธ์แต่ละสถาบันการศึกษามีนโยบายเกี่ยวกับการทำวิทยานิพนธ์ไม่เหมือนกัน คุณภาพของงานวิทยานิพนธ์จึงแตกต่างกัน หากนักศึกษานำวิทยานิพนธ์ที่มีคุณภาพต่ำมาเป็นตัวอย่างหรือแนวทางในการศึกษา อาจจะทำให้นักศึกษาพบปัญหาหรืออุปสรรคต่าง ๆ ในด้านระเบียบวิธีวิจัยและการปกป้องวิทยานิพนธ์ของตนได้
3. ตำราทางวิชาการ ส่วนมากแล้วจะเป็นเอกงานงานเขียนของนักวิชาการที่มีความน่าเชื่อถือ เป็นแหล่งความรู้หลักการ ทฤษฏีที่เกี่ยวข้อง ที่มีการรวบรวมไว้เป็นเรื่องอย่างชัดเจน แต่จะมีข้อเสีย คือความล้าสมัยของตำรา
4. อินเทอร์เน็ต ถือว่าเป็นแหล่งความรู้ที่ใหญ่ที่สุดและมีความหลากหลาย มีความใหม่ ทันสมัยที่สุด มีการปรับปรุงตลอดเวลา และสามารถสืบค้นได้ทั่วโลก มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ดังนั้นการที่จะนำเนื้อหาหรือ ข้อความมาอ้างอิงควรกลั่นกรองว่ามีความเชื่อถือได้หรือไม่
3.2.4
การนำเสนอเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
นักศึกษามักจะวิตกกังวลเสมอว่า
หลังจากมีการศึกษาเอกสารและงานวิจัย ที่เกี่ยวข้องแล้ว
จะนำอะไรบ้างมาเขียนมาเสนอในบทที่ 2 จะเรียงลำดับหัวข้อเนื้อหาไหนก่อน
หลัง
จะยกเอาเนื้อหาทั้งหมดหรือไม่นำมาเขียนหรือเอามาเฉพาะบางส่วน
มีการอ้างอิงอย่างไร ดังนั้นการเขียน นำเสนอเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมีหลักการเขียน
ดังนี้1. ในบทที่ 2 จะประกอบด้วยหัวข้อย่อย 2 ส่วน คือ เอกสารที่เกี่ยวข้องกับหัวเรื่องที่ศึกษาและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อเรื่องที่ศึกษา
1.1 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อเรื่องที่ศึกษา จะประกอบด้วย ความหมายของสิ่งที่หัวข้อเรื่องที่วิจัย ทฤษฏี แนวคิด กับสิ่งที่วิจัย เทคนิควิธีการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเอกสารอ้างอิงที่นำมาอ้างไม่น้อยกว่า 20 เล่ม และการเขียนนำเสนอเอกสารที่เกี่ยวข้องควรนำเสนอหรือเรียบเรียงจากตัวแปรที่ระบุไว้ในหัวข้อเรื่องหรือในความมุ่งหมายของการวิจัย โดยนักศึกษาประมวลสังเคราะห์ ทฤษฏีและแนวคิดต่าง ๆ มีผู้ใดได้ศึกษาหรือเสนอแนวความคิดและทฤษฏีอะไรไว้บ้าง มีข้อโต้แย้งหรือข้อค้นพบอะไรกันบ้างตามตัวแปร เริ่มจากหัวข้อหลักไปหาหัวข้อรอง ตัวอย่างเช่น ศึกษาเรื่องแนวทางการพัฒนาการเรียนการสอนทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning) สำหรับสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย การนำเสนอเอกสารประกอบด้วย
- ความหมายของ e-Leaning
- ความหมายของการพัฒนาการเรียนการสอน
- การเรียนการสอนทางอิเล็กทรอนิกส์
- การจัดการเรียนการสอนบนระบบเครือข่าย
การนำเนื้อหามาเขียนนั้น นักศึกษาควรเนื้อหาที่มีความทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์มาเขียน ยิ่งเรื่องที่ศึกษามีเนื้อหาเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เนื้อหาที่นำมาเขียนก็ต้องใหม่ เป็นปัจจุบันมากที่สุด ที่สำคัญเมื่อมีการนำเนื้อหาของคนอื่นมาเขียนต้องมีการอ้างอิงทุกครั้ง เพื่อให้เกียรติเจ้าของเนื้อหาเป็นสำคัญ ซึ่งการอ้างอิงนั้นขึ้นอยู่กับรูปของสถาบันกำหนดและเมื่อการนำเนื้อหามาเขียนแล้ว หลังจากหัวข้อหรือหัวข้อย่อย นักศึกษาต้องสรุปโดยใช้ภาษาของตนเอง ตัวอย่างเช่น
ความหมายของบทเรียนบนเครือข่าย
ข่าน (Khan.
1997 : 42) ได้ให้ความหมายว่า เป็นโปรแกรมไฮเปอร์มีเดียที่ช่วยในการสอน
โดยใช้ประโยชน์จากคุณลักษณะและทรัพยากรของอินเทอร์เน็ต
(www) มาสร้างให้เกิดการเรียนรู้ โดยส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนในทุก ๆ
ทาง ปรัชญนันท์ นิลสุข (2543 : 48) ได้ให้ความหมายว่า บทเรียนบนเครือข่าย (WBI) หมายถึง การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในระบบอินเทอร์เน็ตมาออกแบบและจัดระบบเพื่อการเรียนการสอน สนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ มีการเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายที่สามารถเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา
ไชยยศ เรืองสุวรรณ (2546 ค : 14) ให้ความหมายของบทเรียนบนเครือข่าย (WBI) ว่าเป็นบทเรียนคอมพิวเตอร์ที่นำเสนอผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์โดยใช้เว็บเบราเซอร์เป็นตัวจัดการ
สรุปได้ว่าบทเรียนบนระบบเครือข่าย (WBI) หมายถึง บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่นำเสนอผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์โดยใช้เว็บเบราเซอร์เป็นตัวจัดการ
1.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง หมายถึง งานวิจัยที่นักศึกษา รวบรวม ค้นคว้า เน้นเกี่ยวข้องกับหัวข้อเรื่องที่ตนศึกษา ซึ่งมีหลักเกณฑ์ว่า งานวิจัยในประเทศ อย่างน้อย 10 เรื่อง และปีที่ทำเสร็จไม่เกิน 10 ย้อนหลัง งานวิจัยต่างประเทศ อย่างน้อย 5 เรื่อง ไม่เกิน 15 ปีย้อนหลัง อย่างไรก็ตามกรณีที่เป็นเรื่องใหม่มาก ๆ หางานวิจัยไม่พบสามารถอนุโลมได้ การเรียบเรียงงานวิจัยนั้นเริ่มจากงานวิจัยภาษาไทย(เรียงตามพ.ศ.ปัจจุบันย้อนหลัง)และตามด้วยงานวิจัยต่างประเทศ การนำงานวิจัยมาเขียนในบทที่ 2 นั้นให้นักศึกษายกข้อความจากบทคัดย่อของแต่ละเรื่องได้เลย ซึ่งมีลักษณะการเขียนประกอบด้วย ชื่อผู้วิจัย (ปีที่พิมพ์ : เลขหน้าหรือที่มา) ได้ศึกษา ..เรื่องที่วิจัย ....... ผลการวิจัยพบว่า .......................... หรือ ประกอบด้วยชื่อผู้วิจัย (ปีที่พิมพ์ : เลขหน้าหรือที่มา) ได้ศึกษา ..เรื่องที่วิจัย ....... ความมุ่งหมายของการ ............ กลุ่มตัวอย่าง ..........ผลการวิจัยพบว่า .......................... ตัวอย่างเช่น
สรรพสิริ เอี่ยมสะอาด(2547 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการพัฒนาแผนการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการบวกลบเศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ผลการศึกษาพบว่า 1) แผนการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง การบวกลบเศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ผู้ศึกษาค้นคว้าพัฒนาขึ้น มีประสิทธิภาพ 83.39/77.50 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้เท่ากับ 75/75 และมีดัชนีประสิทธิผลของแผนการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์เพิ่มขึ้นจากก่อนเรียนอย่างมีนัย ผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้น ร้อยละ 70 หลังจากเรียนตามใช้แผนการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะและ 2)นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนรู้ โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ วิชาคณิตศาสตร์ เพิ่มขึ้นจากก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 และมีความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะอยู่ในระดับมาก
3.3
การเขียนบทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย
วิธีดำเนินการวิจัย เป็นส่วนประกอบของเค้าโครงวิทยานิพนธ์ที่มีความสำคัญ
นักศึกษาต้องมีความรอบคอบ รัดกุม ในการเขียน การนำเสนอ ประกอบด้วยหัวข้อย่อย ประชากร
กลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล การสร้างเครื่องมือ การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล อย่างไรก็ตามในงานวิทยานิพนธ์เชิงปริมาณจะพบว่ามักมีข้อบกพร่องหลายประการ
เขียนประชากรและกลุ่มตัวอย่างไม่ชัดเจน
การสร้างเครื่องมือไม่สอดคล้องกับการวิจัย
ผู้เชี่ยวชาญที่พิจารณาเครื่องมือรวบรวมข้อมูลไม่บอกว่าเป็นใคร ทำงานที่ไหน
เขียนสูตรสถิติผิด ดังนั้นเพื่อลดปัญหาหรือข้อบกพร่องดังกล่าว
นักศึกษา ควรศึกษาวิธีการเขียน การนำเสนอให้เข้าใจเพื่อปกป้องเค้าโครงวิทยานิพนธ์และวิทยานิพนธ์ให้มีคุณภาพ
วิธีดำเนินการวิจัย คือ
การกำหนด วิธีการ กิจกรรมต่าง ๆ และรายละเอียดการวิจัยที่นักศึกษาจะต้องทำ
เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูล นับตั้งแต่ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยไปจนถึงสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
การเขียนวิธีดำเนินการวิจัยมีเป้าหมายที่สำคัญคือ
การได้มาซึ่งข้อมูลที่สามารถตอบปัญหาของการวิจัยตามความมุ่งหมายของการวิจัยที่กำหนดไว้ 3.1.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง คือ หน่วยศึกษาหรือกลุ่มเป้าหมายที่นักศึกษาจะเก็บข้อมูล ซึ่งอาจจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ สุดแท้แต่งานวิจัยนั้นจะศึกษาอะไรในเรื่องใด กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยในแต่ละเรื่องนั้น อาจจะมีกลุ่มเดียวหรือหลายกลุ่ม ระดับเดียวกันหรือหลายระดับก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขอบเขตของการวิจัย ซึ่งกลุ่มเป้าหมายของการวิจัยจะมีผลอย่างมากต่อวิธีการเก็บรวบรวมและการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนั้นการเลือก ประชากร กลุ่มตัวอย่างต้องชัดเจน การเขียนก็เช่นเดียวกัน ต้องระบุให้ชัดเจน ครอบคลุม ระบุประชากรและจำนวนประชากรให้ชัดเจน จำนวนกลุ่ม ตัวอย่างต้องกำหนดไว้อย่างเหมาะสม ถูกต้องตามหลักวิชาการ กล่าวถึงวิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้วิธีที่เหมาะสมและทำให้ผู้อ่านมองเห็นภาพในการปฏิบัติจริง ๆ พร้อมทั้งแสดงรายละเอียดของจำนวนกลุ่มตัวอย่างให้ชัดเจน
การเขียนประชากรและกลุ่มตัวอย่าง มีข้อพึงระวังคือ ข้อความที่เขียนในบทที่ 1 ว่าประชากรและกลุ่มตัวอย่าง คือใคร ที่ไหน อย่างไร จำนวนเท่าใด ในบทที่ 3 ก็เช่นเดียวกัน ต้องเขียนเหมือนกันทุกประการ บ่งบอกถึงความคงเส้นความในการเขียนวิทยานิพนธ์ด้วย บทที่ 3 จะแตกต่างจากบทที่ 1 คือ จะเขียนบอกวิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่าง พร้อมทั้งแสดงรายละเอียดของจำนวนกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งในบทที่ 1 จะไม่เขียนและแสดงรายละเอียด สำหรับปัญหาที่พบในเค้าวิทยานิพนธ์ คือ จำนวนประชากรและกลุ่มตัวอย่างไม่เหมือนกัน รวมทั้งข้อความการเขียนไม่เหมือนกัน เช่น บทที่ 1 บอกว่า มีจำนวน 86 คน บทที่ 3 บอกว่า มี จำนวน 89 คน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นข้อบกพร่องที่พบบ่อย ดังนั้นการแก้ไขคือ คัดลอกข้อความจากบทที่ 1 เลยแล้วมาเพิ่มเติมวิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่าง พร้อมแสดงรายละเอียด เท่านี้ก็เสร็จ ส่วนหลักในการเขียนอธิบายประชากรและกลุ่มตัวอย่าง มีรายละเอียดดังนี้
1. ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ .........(คือใคร).......(ที่ไหน)..........(ปีไหน)............(จำนวนเท่าใด)........................
(อาจจะแสดงตารางจำนวนประชากรประกอบ)
2. กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ .........(คือใคร).......(ที่ไหน)..........(ปีไหน)............(จำนวนเท่าใด)......................ซึ่งได้มาโดย.....................(ระบุวิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่าง)..............มีรายละเอียดการเลือกดังนี้(นักศึกษา สามารถแสดงเป็นตารางหรือเป็นแผนภูมิแลดงวิธีการได้มาของกลุ่มตัวอย่างทั้งนี้ขึ้นอยู่วิธีการนั้น) ดังตัวอย่างการเขียน
1. ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่
ข้าราชการครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุดรธานี ปีการศึกษา
2549 จำนวน 13,104 คน2. กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ ข้าราชการครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุดรธานี ปีการศึกษา 2549 จำนวน 500 คน ซึ่งได้ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multi - stage Random Sampling) มีวิธีการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างและขั้นตอนการสุ่ม ดังนี้........
3.1.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยหรือรวบรวมข้อมูล
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยหรือเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นกุญแจสำคัญของการวิจัย เพราะจะเป็นสิ่งที่นักศึกษาได้เชื่อมกรอบแนวคิดของการวิจัยและแนวคิดต่าง ๆ ของตนกับความเป็นจริง สิ่งที่สำคัญของเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือตัวข้อมูลที่จะนำมาสร้างเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนั้นการทำวิทยานิพนธ์ เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลถือว่าเป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญมาก ในหัวข้อย่อยเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในเค้าโครงวิทยานิพนธ์เป็นการเขียนอธิบายว่าในหัวข้อเรื่องที่ศึกษานั้นมีเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลว่ามีกี่ชนิด ประกอบด้วยอะไรบ้าง ซึ่งการกำหนดเขียนนั้นให้เขียนเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการวิจัยเท่านั้น ส่วนเครื่องมือที่ไม่เกี่ยวข้องในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการวิจัยไม่ต้องนำมาเขียนไว้ และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลนั้น แบ่งออเป็น 3 กรณี คือ 1) เครื่องมือที่มีผู้อื่นสร้างไว้เรียบร้อยแล้ว นักศึกษายืมมาใช้ ต้องระบุให้ชัดเจนว่าเป็นของใคร สร้าง พ.ศ. ใด 2) เครื่องมือที่นักศึกษาสร้างขึ้นมาเอง 3) กรณีที่วิทยานิพนธ์ทำเรื่องเกี่ยวกับพัฒนาเครื่องมือ ต้องเขียนแผนภาพประกอบรายละเอียดและทดลองไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง สำหรับการเขียนอธิบายเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล มีรายละเอียดไม่ซับซ้อน มี 2 ลักษณะ คือ
กรณีที่ 1
มีเครื่องมือชนิดเดียวเท่านั้นและมีแบบเดียว มีลักษณะการเขียนดังนี้
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบ.........................ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเอง จำนวน ...ฉบับ คือ ....................................... แบ่งเป็น .....................ตอน ดังนี้
ตอนที่ 1 .................................(ส่วนมากเป็นสถานภาพของผู้ตอบ) มีลักษณะเป็น ..
ตอนที่ 2 ..................................ซึ่งมีลักษณะเป็น .......................................
กรณีที่ 2 มีเครื่องมือหลายชนิดและมีหลายแบบ มีลักษณะการเขียน ดังนี้
กรณีลักษณะนี้นั้น ควรเขียนเรียงลำดับบอกรายละเอียดของเครื่องมือแต่ละชนิดเท่านั้นตัวอย่างเช่น
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
ประกอบด้วย … ชนิด ดังนี้
1. แบบ.....(ระบุชนิดเครื่องมือ)........จำนวน ..
ฉบับ แบ่งออกเป็น …
ตอน คือ .......(บอกชื่อแต่ละตอนเท่านั้นว่าเป็นแบบไหน
มีกี่ระดับ อะไรบ้าง)..........2. แบบ.....(ระบุชนิดเครื่องมือ)........จำนวน .. ฉบับ แบ่งออกเป็น .. ตอน คือ .......(บอกชื่อแต่ละตอนเท่านั้นว่าเป็นแบบไหน มีกี่ระดับ อะไรบ้าง)..........
3. แบบ.....(ระบุชนิดเครื่องมือ)........จำนวน .. ฉบับ แบ่งออกเป็น .. ตอน คือ .......(บอกชื่อแต่ละตอนเท่านั้นว่าเป็นแบบไหน มีกี่ระดับ อะไรบ้าง)..........
ตัวอย่างการเขียน
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับสภาพการนิเทศภายในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาร้อยเอ็ด ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
จำนวน 1 ฉบับ แบ่งเป็น 3 ตอน คือ
ตอนที่
1 แบบสอบถามเกี่ยวกับสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม มีลักษณะเป็นแบบตรวจสอบรายการ (Check List)
ตอนที่ 2 แบบสอบถามเกี่ยวกับสภาพการนิเทศภายในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาร้อยเอ็ด ตามกระบวนการนิเทศภายในโรงเรียน มีลักษณะแบบสอบถามชนิดมาตรส่วนประมาณค่า(Rating Scale) 5 อันดับ คือ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุด
ตอนที่ 3 ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับกระบวนการนิเทศภายในสถานศึกษา มีลักษณะเป็นแบบปลายเปิด (Open-ended form)
3.1.3 การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
หัวข้อนี้ จะกล่าวถึงหลักการ ขั้นตอนการเขียนการสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยหรือรวบรวมข้อมูล
ว่านักศึกษาคาดว่าจะสร้างเครื่องมือแต่ละชนิดประกอบด้วยขั้นตอนใดบ้าง มีหลักการใดบ้าง
กำหนดว่าจะสร้างจำนวนเท่าใด ต้องการจริงเท่าใด มีลักษณะอย่างไร เช่น สร้างแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า(Rating Scale) 5 ระดับ
สร้างจำนวน 20 ข้อ ต้องการจริง 15 ข้อ
เป็นต้นและการหาคุณภาพเครื่องที่ใช้ในการวิจัยนั้น จะใช้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือกี่คน
ทดลองกับใคร จำนวนเท่าใด จะใช้สูตรใดในการหาค่าอำนาจจำแนก
หาความยาก หาค่าความเชื่อมั่น และมีการกำหนดเกณฑ์คุณภาพเครื่องมือที่ระดับใด
ซึ่งในการเขียนการสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นขั้นตอนโครงร่างที่นักศึกษาจะคาดว่าทำและปฏิบัติตามขั้นตอนที่เขียนไว้เท่านั้น
แต่หลังจากนิสิตทำแล้วซึ่งจะเขียนเป็นวิทยานิพนธ์นั้น
นิสิตต้องปรับเปลี่ยนข้อความใหม่
ซึ่งพบข้อบกพร่องมากในวิทยานิพนธ์ กล่าวคือ นักศึกษาไม่มีปรับเปลี่ยนยังคงใช้ข้อความเดิมที่เขียนไว้ในเค้าโครงวิทยานิพนธ์
แท้จริงและถูกต้องนั้น เมื่อนักศึกษาทำการสร้างจริง ตรวจสอบและทดลองไปใช้จริงแล้ว
ผลที่ได้จะแตกต่างกัน ดังนั้นข้อความก่อนทำกับหลังต้องการแตกต่างกัน
ตรงที่ต้องมีการนำเสนอผลการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญและการทดลองใช้ว่า ได้ผลอย่างไร
มีการปรับปรุงอะไรบ้าง เข้าเกณฑ์กี่ข้อ นำไปใช้จริงกี่ข้อ นิสิต นักต้องพึงระวังในการเขียนการสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเค้าโครงวิทยานิพนธ์
สำหรับหลักการ เกณฑ์การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
มีดังนี้3.1) ก่อนลงมือเขียนขั้นตอนการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย นิสิต ศึกษาควรศึกษารูปแบบการสร้างเครื่องมือชนิดนั้น ๆ ให้เข้าใจเพื่อความถูกต้องในการเขียน
3.2) ในขั้นการศึกษาเอกสารและงานวิจัย นักศึกษาควรระบุชื่อเอกสารที่ค้นคว้าให้ครบและชัดเจน ว่าเป็นของใคร ชื่อหนังสือ พ.ศ. ที่พิมพ์ เช่น ศึกษาเอกสารการสร้างแบบสอบถามจากหนังสือการวิจัยเบื้องต้นของบุญชม ศรีสะอาด(2545 : 90-100)
3.3) กรณีที่เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ขั้นตอนการสร้างนักศึกษา ควรสร้างตารางวิเคราะห์รายละเอียด(เนื้อหา ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง) และระบุจำนวนข้อที่สร้างขึ้นและต้องการจริงเท่าใด ตัวอย่างเช่น
ตาราง 1
เนื้อหา ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
และจำนวนข้อที่สร้างขึ้นและใช้จริง
ในแต่ละผลการเรียนรู้ ที่คาดหวังของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
วิชาเคมี
เนื้อหา
|
ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
|
จำนวนข้อสอบ
|
|
สร้างขึ้น
|
ใช้จริง
|
||
สารประกอบไฮโดรคาร์บอน
|
1.
เรียกชื่อและเขียนสูตรสารประกอบ
|
6
|
4
|
ของคาร์บอนประเภทต่าง
ๆได้
|
หมายเหตุ
ตารางนี้สามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับเครื่องมือชนิดอื่นได้ เช่น
แบบสอบถาม แบบวัดความพึงพอใจ
3.4) การเลือกผู้เชี่ยวชาญพิจารณาความเที่ยงตรงนั้น นักศึกษาควรเลือกผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนั้นอย่างแท้จริง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้พิจารณาให้ข้อเสนอแนะ
ปรับปรุงเครื่องมือ ดังนั้นการเลือกผู้เชี่ยวชาญที่มีความเชี่ยวชาญ
จะทำให้เครื่องมือมีคุณภาพด้วย ผู้เชี่ยวชาญควรมี 2 ประเภท ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาและผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดผล
3.5) ผู้เชี่ยวชาญที่ใช้ในการตรวจสอบเครื่องมือ นักศึกษาต้องเขียนระบุตำแหน่งทางวิชาการ ตำแหน่งหรือหน้าที่การงาน สถานที่ทำงาน เช่น
รศ.ดร. บุญชม ศรีสะอาด อาจารย์ภาควิชาการวิจัยและพัฒนาการศึกษา
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดผล
และกรณีเครื่องมือที่สร้างมีมากกว่า 1 ชนิดแต่ใช้คณะผู้เชี่ยวชาญชุดเดิม การเขียนอธิบายในขั้นตอนการสร้างไม่ต้องเขียนรายละเอียดอีก
ระบุข้อความ ผู้เชี่ยวชาญชุดเดิม ในขั้นตอนการสร้างเครื่องมือเท่านั้นพอ เช่น นำเครื่องมือไปให้ผู้เชี่ยวชาญชุดเดิมตรวจสอบความถูกต้อง
3.6) นักศึกษาต้องเขียนขั้นตอนการสร้างให้ชัดเจน ถูกต้อง เช่น กระบวนการสร้าง อธิบายค่าอำนาจจำแนก วิธีหาความเชื่อมั่นและความเที่ยงตรง เพื่อให้ผู้อื่นอ่านแล้วเข้าใจง่ายกรณีที่ใช้เครื่องมือคนอื่นสร้างไว้มาใช้ ต้องระบุว่าเป็นของใคร สร้าง พ.ศ.ใด และที่สำคัญเครื่องนั้นต้องทันสมัย มีความสอดคล้องกับเรื่องที่ทำและไม่ควรเกิน 5 ปี
3.7) เครื่องมือแต่ละชนิดที่สร้างขึ้น ควรเขียนแสดงตัวอย่างลักษณะของเครื่องมือที่ใช้วัด อธิบายวิธีการตรวจให้คะแนน เกณฑ์การให้คะแนนอย่างชัดเจน พร้อมทั้งระบุแหล่งที่มาอย่างชัดเจน เช่น มากที่สุด ให้ 5 คะแนน หรือ คะแนนความคิดคล่องในการคิด พิจารณาคำตอบที่เป็นไปได้ในเงื่อนไขของข้อสอบถือว่าเป็นคำตอบที่เป็นไปได้ ให้คำตอบละ 1 คะแนน
3.8) การหาคุณภาพเครื่องมือเป็นรายข้อ (อำนาจจำแนก ความยาก) ให้ทดลองใช้ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างไม่น้อยกว่า 50 คน แล้วคัดเลือกข้อที่ดีไว้ใช้แล้วจึงหาคุณภาพทั้งฉบับ(ความเชื่อมั่น)
3.9) การเขียนขั้นทดลองใช้ นักศึกษาควรระบุให้ชัดเจนว่ากลุ่มที่ใช้ทดลองเป็นใคร จำนวนเท่าใด ทดลองวันที่เท่าใด
ตัวอย่าง การเขียนการสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
มีขั้นตอนการเขียนดังนี้
1.
กำหนดจุดประสงค์ในการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
2. ศึกษาเอกสาร
ทฤษฏีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ(เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย)
จากหนังสือของ ..........................................3. วางแผนการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยนั้น ว่าจะสร้างกี่ข้อ มีกี่ด้าน แต่ละด้านมีกี่ข้อ
4. สร้าง..(ระบุชื่อเครื่องมือ)...บอกลักษณะของเครื่องมือเป็นแบบใด มีกี่ระดับ มีกี่ด้านอะไรบ้าง สร้างขึ้นจำนวน...ข้อและต้องการจริง จำนวน .... ข้อ (อาจจะสร้างตารางวิเคราะห์รายละเอียดหรือไม่สร้างก็ได้)
5. นำ(ระบุชื่อเครื่องมือ)ที่สร้างขึ้นไปให้ผู้เชี่ยวชาญ (ระบุด้าน) พิจารณาตรวจสอบความเที่ยงตรง(เชิงประจักษ์) โดยพิจารณาว่าข้อความของเครื่องมือที่สร้างขึ้นนั้น วัดได้(จุดประสงค์ นิยามศัพท์เฉพาะหรือเนื้อหาหรือไม่)แล้วให้ผู้เชี่ยวชาญให้คะแนน อาจจะเป็น +1 เมื่อแน่ใจวัดได้ตรงในด้านนั้น 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าวัดได้ในด้านนั้น และ -1 เมื่อแน่ใจว่าวัดได้ไม่ตรงในด้านนั้น และให้ระบุจำนวนผู้เชี่ยวว่ามีกี่คน ระบุตำแหน่งหน้าที่ สถานที่ทำงาน และระบุผลการตรวจสอบ
ผลการตรวจสอบคุณภาพของ...(ระบุชื่อเครื่อง) ... ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนเป็นรายข้อแล้วคำนวณค่าดัชนีความสอดคล้อง พบว่า ได้ดัชนีความสอดคล้องระหว่าง.....ถึง.....
6. แก้ไข...(ระบุชื่อเครื่อง).. ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ แล้วนำไปทดลองใช้(Try out) กับ .....(ระบุว่าเป็นกลุ่มใด) ... ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จำนวน...คน
7. วิเคราะห์คุณภาพของ...(ระบุชื่อเครื่องมือ)...
วิเคราะห์..(ระบุชื่อเครื่องมือ)..โดยคำนวณหาค่าอำนาจจำแนกรายข้อโดยใช้....(ระบุสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์).... ซึ่งได้ค่าอำนาจจำแนกเป็นรายข้อตั้งแต่....ถึง.....(ได้ค่าความยากเป็นรายข้อตั้งแต่....ถึง.....(ถ้ามี))และหาค่าความเชื่อมั่นของ..(ระบุชื่อเครื่องมือ)...โดยใช้....(ระบุสถิติที่ใช้)...ปรากฏว่าได้ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ...
8. จัดพิมพ์..(ระบุชื่อเครื่องมือ)...ฉบับสมบูรณ์เพื่อนำไปใช้จริง (พร้อมแสดงตัวอย่างเครื่องมือ)
3.1.4
การเก็บรวบรวมข้อมูล
การเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นกระบวนการที่จะได้มาซึ่งข้อมูลที่ตอบสนองความมุ่งหมายของการวิจัย
เป็นขั้นตอนหนึ่งของกระบวนการวิจัยที่มีความสำคัญ
การเขียนขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูลในเค้าโครงวิทยานิพนธ์นั้น เป็นการบอกเรื่องราวของขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างว่านักศึกษามีขั้นตอนอย่างไรในการดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยปกติแล้ว จะประกอบด้วย 3 ขั้นตอนใหญ่ ๆ
คือ
การติดต่อขอหนังสือจากบัณฑิตวิทยาลัยของสถาบันตนเองเพื่อขอความร่วมมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ติดต่อกับกลุ่มตัวอย่างและดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งในขั้นนี้ต้องมีการเขียนอธิบายให้ชัดเจนตามเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
เช่น ถ้าเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบทดสอบหรือแบบวัด
ต้องเขียนรายละเอียด วัตถุประสงค์การทำแบบทดสอบหรือแบบวัด การอธิบายวิธีการทำแบบทดสอบหรือแบบวัดและบอกระยะเวลาที่คาดว่าจะเก็บรวบข้อมูล(กรณีที่ระบุได้)
ผู้วิจัยได้ดำเนินเก็บรวบรวมข้อมูล
ดังนี้
1.
ติดต่อขอหนังสือจากบัณฑิตวิทยาลัย..............
เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่าง2. ติดต่อกับทางโรงเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง นัดวัน เวลา เพื่อดำเนินการทดสอบ
3. เตรียมแบบทดสอบและแบบวัดให้พร้อมที่จะทำการทดสอบแต่ละครั้ง
4. อธิบายให้นักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างเข้าใจในวัตถุประสงค์ และประโยชน์ที่จะได้รับจากการทำแบบทดสอบ และแบบวัด
5. อธิบายวิธีการทำแบบทดสอบ และแบบวัดให้เข้าใจเสียก่อนลงมือทำ
6. ดำเนินการเก็บรวบรวบรวมข้อมูล ระหว่างวันที่ ...............ถึงวันที่
7. นำผลที่ได้จาการทดสอบและวัดมาตรวจดูความสมบูรณ์ของการตอบ
แล้วจึงนำไปตรวจให้คะแนนตามเกณฑ์และวิธีการให้คะแนนที่อธิบายไว้หัวข้อการสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
3.1.5 การวิเคราะห์ข้อมูล
การเขียนเค้าโครงวิทยานิพนธ์
ขั้นตอนหนึ่งที่มีความสำคัญ คือ หัวข้อการวิเคราะห์ข้อมูล มักพบข้อบกพร่องในการเขียนทั้งนี้เนื่องจากนักศึกษา
มักจะเขียนอธิบายวิธีการวิเคราะห์คุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย
ซึ่งแท้จริงแล้วในขั้นนี้จะเขียนอธิบายการวิเคราะห์ข้อมูลที่สอดคล้องกับความมุ่งหมายของการวิจัย สมมติฐานของการวิจัยเท่านั้น ส่วนมากนักศึกษามักเข้าใจผิด
เช่น ใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานวิเคราะห์แบบสอบถาม เป็นต้น
ดังตัวอย่างการเขียน
การวิเคราะห์ข้อมูล
ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลตามลำดับ ดังนี้
1. หาค่าสถิติพื้นฐาน คือ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน2. วิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัย โดยใช้โปรแกรม SPSS for Window
วิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรพยากรณ์กับตัวแปรเกณฑ์
ปกติแล้วหัวข้อนี้มักพบในงานวิจัยเชิงปริมาณ
ส่วนงานวิจัยเชิงคุณภาพแทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้
หัวข้อเป็นหัวข้อสุดท้ายในการเขียนเค้าโครงวิทยานิพนธ์
เป็นการเขียนอธิบายหรือรวบรวมสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลของการวิจัยทั้งหมด
ว่าสถิติที่ใช้มีอะไรบ้าง
พร้อมสูตรสถิตินั้นที่ใช้ บางสถาบันอาจจะไม่มีการเขียนอธิบายสูตรสถิติ เพียงอธิบายว่าใช้สถิติอะไรบ้างในการวิเคราะห์ข้อมูลเท่านั้น สำหรับการเขียนสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลนั้นประกอบด้วยสถิติ
3 กลุ่มด้วยกันคือ 1)
สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 2) สถิติพื้นฐานและ3) สถิติทดสอบสมมติฐาน ซึ่งในหัวข้อนี้มักพบบกพร่องหลายประการคือ
เขียนสูตรผิด
ไม่มีการอ้างอิงว่าเอามาจากไหน เขียนสถิติซ้ำซ้อน
ดังนั้นเพื่อลดข้อบกพร่องเหล่านี้มีหลักในการเขียน ดังนี้
7.1)
เรียงลำดับหัวข้อสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลให้ถูกต้อง
ปกติแล้วจะเริ่มด้วย สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย สถิติพื้นฐานและสถิติทดสอบสมมติฐาน ตามลำดับ7.2) สถิติที่นำมาเขียนทุกตัวต้องมีอ้างอิงที่มาอย่างชัดเจน และถูกต้อง เช่น หาค่าเฉลี่ยโดยใช้สูตร ดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด. 2543 : 102)

7.3) สูตรที่นำเขียน ต้องเขียนอธิบายสัญลักษณ์ ให้ถูกต้องและชัดเจน
7.4) กรณีการหาค่าอำนาจำแนก ค่าความยากต้องระบุสถิติให้ชัดเจนว่าเป็นสูตรใด เพราะมีสถิติหลายตัวที่สามารถหาค่าเหล่านี้ได้และต้องมีความถูกต้องกับเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยด้วย เช่น ถ้าเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ส่วนมากคือ t-test หรือ สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อย่างง่าย เป็นต้น
ตัวอย่างการเขียน
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล มีดังนี้
1. สถิติพื้นฐาน
ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
2. สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพของเครื่องมือในการวิจัย
2.1 หาคุณภาพของแบบสอบถาม
2.1.1 วิเคราะห์หาค่าอำนาจจำแนกรายข้อ ใช้สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์
แบบเพียรสัน (Pearson, sProduct-
Morment Correlation) ระหว่างคะแนนแต่ละข้อกับคะแนนรวม (Item- total Correlation) โดยใช้สูตร ดังนี้(บุญชม ศรีสะอาด. 2543 : 107)

3.1
ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อย่างง่าย (Simple
Correlation) หรือสหสัมพันธ์
แบบเพียรสัน โดยใช้สูตร ดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด. 2543 : 107)
-----------------------------------
* เมื่ออ่านแล้วท่านใดมีน้ำใจ ร่วมสร้างบล็อกวามรู้ร่วมกัน (น้อยมากตามศรัทธา) สามารถโอนเงินมาที่ บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกรุงไทย สาขามหาสารคาม ชื่อบัญชี นายทองสง่า ผ่องแผ้ว บัญชีเลขที่ 409-1920-845
* น้ำใจที่ได้จากการท่าน ช่วยต่อลมหายใจทีมงานของบล็อกการวิจัยการศึกษาให้ยืนยาว และมีกำลังใจในการเสนอบทความ ความรู้ให้แก่นักศึกษา ครู และผู้สนใจต่อไป
* น้ำใจที่ได้จากการท่าน ช่วยต่อลมหายใจทีมงานของบล็อกการวิจัยการศึกษาให้ยืนยาว และมีกำลังใจในการเสนอบทความ ความรู้ให้แก่นักศึกษา ครู และผู้สนใจต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น